ผู้นำชีอะห์รุดเยี่ยมให้กำลังใจมุสลิมเรือล่มอยุธยา ชี้มุสลิมคือพี่น้องกัน ต้องช่วยเหลือในยามทุกข์ลำบาก

ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นักการศาสนามุสลิมชีอะห์(ซ้าย) กับ อีหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว มัสยิดอาลียินนูรอยน์ (ขวา) /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง

ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำและนักการศาสนาระดับสูงของมุสลิมชีอะห์ไทย เดินทางไปยังมัสยิดอาลียินนูรอยน์  เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจครอบครัวและญาติพี่น้องของชาวมุสลิมที่ประสบเหตุเรือล่ม ชี้มุสลิมคือพี่น้องกัน ต้องปลอบประโลม ให้กำลังใจ และช่วยเหลือกันในยามทุกข์ลำบาก

วานนี้ (24 ก.ย.) เวลาประมาณ 18.00 น. ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี นักการศาสนาระดับสูงของมุสลิมสำนักคิดชีอะห์ในประเทศไทยพร้อมคณะได้เดินทางไปยังมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ต. สำเภาล่ม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจครอบครัวและญาติพี่น้องของชาวมุสลิมที่ประสบเหตุเรือล่มในพิธีแห่เรือตามประเพณีของมุสลิมในอยุธยา โดยมีอีหม่าม “จักรกฤษ เส้นขาว” และสัปบุรุษมัสยิดให้การต้อนรับ

ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี และคณะร่วมละหมาดที่มัสยิดอาลียินนูรอยน์ โดยมี อีหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว นำละหมาด /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง
ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี และคณะร่วมละหมาดที่มัสยิดอาลียินนูรอยน์ โดยมี อีหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว นำละหมาด /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง

ซัยยิดสุไลมาน กล่าวกับผู้สื่อข่าวเดอะพับลิกโพสต์ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์วันนี้ (25 ก.ย.) ว่า “อุบัติเหตุที่นำมาซึ่งการสูญเสียถึง 28 ชีวิต ที่อาจประกอบไปด้วยบุคคลอันเป็นที่รัก บุคคลในครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหาย และสัปบุรุษในชุมชน ย่อมนำมาซึ่งความโศกเศร้าและทุกข์ระทมอย่างใหญ่หลวงต่อผู้อยู่เบื้องหลัง เราในฐานะมุสลิมที่เปรียบเสมือนเรือนร่างเดียวกัน หรือถ้าจะมองในทางมนุษยธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลอบประโลม ให้กำลังใจ และช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมของเราที่ประสบเหตุอย่างสุดความสามารถ”

ซัยยิดสุไลมาน กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ได้รับทราบเหตุการณ์จากรายงานของสื่อมวลชนตนรู้สึกหดหู่และเศร้าสลดอย่างมาก แต่ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดกว่าเมื่อทราบข่าวว่ามีมุสลิมบางฝ่ายได้ออกมาซ้ำเติมพี่น้องมุสลิมด้วยกันในยามทุกข์โศกเช่นนี้ โดยการกล่าวหาด้วยข้อหาที่ร้ายแรงว่าเป็นผู้กระทำการชีริก (ตั้งภาคี) และเลยเถิดไปถึงการกล่าวหาว่าหลุดพ้นจาศาสนาอิสลาม

“นับตั้งแต่ได้ยินข่าวเช่นนั้นผมตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจพี่น้องมุสลิมของเรา ซึ่งที่สุดต้องขอขอบคุณต่อองค์อัลเลาะห์ที่ได้ให้โอกาสนั้นกับผม” นักการศาสนาระดับสูงของมุสลิมชีอะห์ ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชกล่าวกับผู้สื่อข่าว

“ในขณะที่ทุกฝ่ายเร่งให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวอย่างเช่นพระสงฆ์ในอยุธยา มูลนิธิป่อเตีกตึ้ง และภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย  แต่มุสลิมกลุ่มหนึ่งไม่ทราบว่าจิตใจของพวกเขาทำด้วยอะไร ถึงได้ใจร้ายใจดำเกินมนุษย์ปุถุชน อย่าว่าแต่ด้วยสายใยของมุสลิมเลย บุคคลที่มีมนุษยธรรมอยู่ในจิตใจก็ย่อมจะไม่ซ้ำเติมต่อผู้ที่กำลังะสูญเสียและโศกเศร้า วิถีเช่นนี้ย่อมไม่ใช่วิถีของอิสลามอย่างแน่นอน”

“เมื่อได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องที่มัสยิดอาลียินนูรอยน์ จากสายตาและคำพูดของพวกเขาผมสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอันเนื่องจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และความรู้สึกตัดพ้อจากการถูกกระทำโดยมุสลิมด้วยกันเอง แน่นอนว่าการทำร้ายความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมไม่ว่าจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อม บุคคลผู้นั้นเขาย่อมจะต้องกลับไปตอบคำถามต่ออัลเลาะห์” ซัยยิดสุไลมานกล่าว และเน้นย้ำว่า “นี่เป็นสิทธิของมนุษย์ การละเมิดสิทธิของมนุษย์ เป็นความผิดที่พระเจ้าจะมิทรงให้อภัย เว้นแต่จะได้การอภัยจากบุคคลที่เขาละเมิดเสียก่อน หากโลกนี้เขาไม่ได้ขออภัย ก็จะต้องแบกรับความผิดนี้ไปจวบถึงวันกิยามัต (วันฟื้นคืนชีพ)”

“การเดินทางไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องมุสลิมที่มัสยิดอาลียินนูรอยน์ของผมก็เพื่อพิสูจน์คำกล่าวในอิสลามที่ว่า มุสลิมคือเรือนร่างเดียวกัน ส่วนไหนเจ็บปวดอีกส่วนก็เจ็บปวดด้วย” ซัยยิดสุไลมานกล่าว

พี่น้องมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ให้การต้อนรับแขกผู้มาเยือน /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง
พี่น้องมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ให้การต้อนรับแขกผู้มาเยือน /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง

นอกจากนั้น ซัยยิดสุไลมาน ฮูไซนี ยังบอกถึงความรู้สึกประทับใจต่อการต้อนรับจากพี่น้องมุสลิมและสัปบุรุษของ มัสยิดอาลียินนูรอยน์ว่า “ผมต้องขอขอบคุณท่านอีหม่ามและพี่น้องสัปบุรุษที่ให้การต้อนรับผมและคณะเป็นอย่างดี ที่ผมประทับใจมากคือจรรยามารยาทของพี่น้องที่นี่ ทุกคนลุกขึ้นยืนออกมาต้อนรับผมและคณะที่มาเป็นแขก จวบจนตอนกลับพี่น้องก็ออกมายืนส่ง ซึ่งนี่คือจรรยามารยาทของท่านนบีมุฮัมหมัดในการต้อนรับแขกที่ได้แสดงไว้เป็นจริยวัตรให้มุสลิมปฏิบัติ ที่ปัจจุบันนี้ได้ห่างหายไปจากสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ ซึ่งผมไม่คาดคิดว่าจะได้พบเห็นที่นี่ แน่นอนว่าย่อมสะท้อนไปถึงครูบาอาจารย์และแนวทางการเรียนการสอนที่ครอบคลุมในทุกๆด้านที่อิสลามให้ความสำคัญของชุมชนที่นี่”

ซัยยิดสุไลมาน ยังกล่าวอีกว่า “ศาสนาอิสลามภายใต้การนำของศาสดามุฮัมหมัดเผยแพร่อิสลามด้วยวิชาการและจรรยามารยาท บุคคลในประวัติศาสตร์ก็ส่งต่ออิสลามมายังพวกเราด้วยวิชาการและจรรยามารยาท ไม่ใช่ด้วยวิธีการกักขฬะ อวิชชา หรือการใช้ความรุนแรง”

“อิสลามแบบกักขฬะที่สุดแล้วก็จะไร้ที่ยืนในสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในวันนี้คือไอซิส อิสลามแบบนั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่มีใครสามารถยอมรับได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอิสลามแต่เพียงการกล้าวอ้าง มิใช่อิสลามแบบที่ทานศาสาดมุฮัมหมัดนำพามา ดังนั้นถ้าพวกเขาไม่ปรับตัวยังคงใช้วิธีการใส่ร้าย ว่าร้าย และพิพากษาผู้อื่นโดยเอาความคิดความเชื่อของตนเองเป็นที่ตั้ง ก็จะถูกปฏิเสธจากสังคมไปเอง ซึ่งปรากฏการณ์จากเหตุเรือล่มที่อยุธยาเป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่า เมื่อนักวิชาการและมุสลิมจำนวนมากออกมายืนเคียงข้างครอบครัวและญาติพี่น้องของชาวมุสลิมผู้สูญเสีย ผู้ใส่ร้ายก็จะไม่มีที่ยืนในสังคม” ซัยยิดสุไลมานกล่าว

รับประทานอาหารร่วมกัน /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง
รับประทานอาหารร่วมกัน /ภาพ สิทธิ โต๊ะหวัง

s__2490477s__2490504