อินดีเพนเดนท์ – ชาวมุสลิมหลายร้อยคนได้ออกมาละหมาดร่วมกันนอกโคลีเซียมในกรุงโรมเพื่อประท้วงต่อต้านการปิดมัสยิดในอิตาลี
การจัดประท้วงอย่างสันติเกิดขึ้นหลังจากอิตาลีสั่งปิดมัสยิด 5 แห่งเมื่อเร็วๆ นี้
ชุมชนมุสลิมในอิตาลีเชื่อว่า การสั่งปิดมัสยิดเป็นผลมาจากการโจมตีของกลุ่มอิสลามิสต์หัวรุนแรงที่มีขึ้นในยุโรป
ผู้ประท้วงบอกว่า เหตุผลในการยกมาปิดมัสยิด (เช่น เรื่องจำนวนห้องน้ำในศาสนสถาน) เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
“เรารู้สึกว่า ผู้คนกำลังชี้นิ้วมาที่เรา” ฟราสซิสโก เทียร์รี่ ผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามกล่าวกับเอเอฟพี
“ฝ่ายทางการเมืองไม่ยอมรับว่า เราอยู่ที่นี่และเราเป็นชุมชนที่รักสันติภาพ”
“เรากำลังถูกบังคับให้ไปเช่าสถานที่เพื่อใช้ละหมาด ซึ่งสำหรับเราเปรียบเสมือนอากาศหายใจ หากเราไม่สามารถทำมันได้เราก็จะตาย”
มีชาวมุสลิมประมาณ 1.6 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในอิตาลี ซึ่งหมายความว่าอิตาลีมีประชากรมุสลิมใหญ่เป็นอันดับ 4 ในยุโรป ทว่าในประเทศนี้มีเพียงมัสยิด 8 แห่งที่เป็นทางการ
อิสลามเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับที่ 2 ในประเทศนี้รองจากโรมันคาทอลิก แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการ ซึ่งแตกต่างจากศาสนายูดาย และมอร์มอน
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยืนยันว่ามีการปิดมัสยิดบางแห่งจริง และกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ให้คำมั่นต่ออิสรภาพทางความคิด แต่ต้องอยู่ในกรอบทางกฎหมาย
สภาท้องถิ่นของอิตาลีสามารถคัดค้านการก่อสร้างอาคารด้วยเหตุผลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก สถานที่จอดรถ หรือความงามทางสถาปัตยกรรมของพื้นที่ใกล้เคียง พวกเขาคัดค้านคำขอสร้างมัสยิดซ้ำๆ ด้วยเหตุผลเดิมๆ
นอกจากนี้ฝ่ายปีกขวายังได้เรียกร้องให้ห้ามการสร้างมัสยิดที่ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ
เพราะไม่สามารถสร้างมัสยิดที่ถูกต้องเป็นทางการ มุสลิมในอิตาลีจึงต้องละหมาดร่วมกันในบ้านหรือตามศูนย์อิสลามและห้องละหมาดที่มีอยู่ราว 800 แห่งทั่วประเทศ แต่พวกปีกขวาก็อ้างว่า ศาสนสถานเหล่านี้ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและเพิ่มความเสี่ยงเกี่ยวกับกลุ่มที่มีแนวคิดหัวรุนแรง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อิตาลี กล่าวในเดือนสิงหาคมว่า “มัสยิดขนาดเล็กในโรงรถ” ควรจะถูกห้าม