รถโดยสารหลายคันซึ่งถูกส่งไปลำเลียงคนป่วยและคนบาดเจ็บจากหมู่บ้าน 2 แห่งที่ถูกฝ่ายบกฏปิดล้อม ในจังหวัดอิดลิบ ถูกพวกกบฏยึดไปเผาทิ้งในวันอาทิตย์ (18 ธ.ค.) ส่งผลกระทบกระเทือนต่อความพยายามล่าสุดที่จะอพยพผู้คนออกไปจากพื้นที่ยึดครองของแต่ละฝ่าย ตามแผนแลกเปลี่ยนผู้อพยพ
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนในซีเรีย และสถานีโทรทัศน์ของทางการซีเรีย รายงานว่า รถบัส 6 คัน ซึ่งรวมถึงรถของสภาเสี้ยววงเดือนแดง ถูกเผาทำลายวานนี้ (18 ธ.ค.) ขณะมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านทั้งสองแห่ง ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ บีบีซีไทยรายงาน
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า กองกำลังฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เรียกร้องให้กลุ่มกบฏเปิดทางให้นำชาวบ้านผู้เจ็บป่วยออกจากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อแลกกับการที่ฝ่ายรัฐบาลจะยอมเปิดทางให้พลเรือนและกลุ่มกบฏสามารถอพยพออกจากพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองอเลปโป หลังจากที่แผนการอพยพประชาชนออกจากเมืองอเลปโปล้มเหลวลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านจำนวนมาก ติดค้างอยู่ตามเส้นทางการอพยพโดยที่ไม่มีอาหารและที่พักอาศัยท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น
ก่อนหน้านี้อัลจาซีร่ารายงานว่า ส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการอพยพนักรบกบฏและพลเรือนหลายพันคนจากเขตตะวันออกของอาเลปโปไปยังเมืองอิดลิบนั้น ฝ่ายกบฏต้องให้ฝ่ายรัฐบาลมีการอพยพพลเรือนหลายพันคนออกจากเมืองกาฟรายา และฟูอา สองเมืองของมุสลิมชีอะห์ที่ถูกปิดล้อมโดยฝ่ายกบฏ
ผู้จัดการออนไลน์รายงานอ้างบีบีซีนิวส์และเอเจนซีส์ ระบุว่า ภายหลังเกิดเหตุเผารถบัสแล้ว ข่าวเกี่ยวกับการอพยพคนออกจากอะเลปโปในวันอาทิตย์ (18) ก็ออกจะสับสน ตามรายงานของสื่อรัฐบาลซีเรียนั้น ขบวนรถอพยพเริ่มต้นออกจากเมืองนี้แล้ว ทว่ารายงานกระแสอื่นๆ กลับบอกว่าขบวนดังกล่าวต้องหวนกลับมาอีก
แผนการแต่แรกที่จะอพยพผุ้คนออกจากที่มั่นเขตท้ายๆ ซึ่งฝ่ายกบฏยังยึดครองอยู่ในอะเลปโปตะวันออกนั้น มีอันพังครืนลงในวันศุกร์ (16) ทำให้พลเรือนจำนวนมากติดอยู่ตามจุดต่างๆ ตามเส้นทางออกจากนครแห่งนี้ โดยที่พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงอาหารหรือที่พำนักพักพิงได้
ขณะที่การปฏิบัติการอพยพครั้งใหม่ ถึงแม้จะมีอุปสรรคทำให้ต้องชะลอไปหลายครั้ง แต่ก็ยังคงมีการตระเตรียมรถโดยสารเอาไว้ในวันอาทิตย์ (18) สำหรับการอพยพประชาชน ทั้งจากอะเลปโปตะวันออกและจากหมู่บ้านที่รัฐบาลยึดไว้ 2 แห่งในจังหวัดอิดลิบ
ตามรายงานของกลุ่มผู้สังเกตการณ์ชาวซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชน (SOHR) อันเป็นกลุ่มติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ในซีเรีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในอังกฤษและอาศัยสายข่าวในพื้นที่ซึ่งมักเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลซีเรียนั้น ได้มีรถโดยสารจำนวนหนึ่งสามารถเดินทางไปจนเข้าสู่หมู่บ้านโฟอะห์ และ เคฟรายะ ได้สำเร็จ ขณะที่ก่อนหน้านั้นรายงานข่าวระบุว่ากลุ่มจับฮัต ฟาตะห์ อัล-ชาม ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากกลุ่มแนวร่วมนุสรา ฟรอนต์ ที่มีความเชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์ ได้เข้าขัดขวางไม่ให้รถบัสเหล่านี้ผ่านไป
ทั้งนี้ SOHR ระบุว่า มีรถโดยสาร 6 คนถูกโจมตีและถูกจุดไฟเผาในระหว่างอยู่บนเส้นทาง
ส่วนสื่อของทางการซีเรียบอกว่า “กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธ” ได้โจมตีรถบัส 5 คัน โดยจุดไฟเผาและทำลายรถโดยสารเหล่านี้เสียหายยับเยิน
นอกจากนั้นยังมีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งจากสำนักข่าวเอเอฟพีที่รายงานว่า กลุ่มชายติดอาวุธได้บังคับพวกคนขับของรถโดยสารเหล่านี้ให้ออกมาจากรถ จากนั้นจึงเปิดฉากยิงใส่และจุดไฟเผารถ
มีรายงานหลายกระแสจากแหล่งข่าวฝ่ายค้านรัฐบาลซีเรียหลายๆ รายซึ่งกล่าวว่า กลุ่มจับฮัต ฟาตะห์ อัล-ชาม เป็นผู้รับผิดชอบกระทำการคราวนี้ ทว่า อัล-มานาร์ ทีวี ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน และ อัล-มายะดิน ทีวี ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงเบรุต, เลบานอน และเป็นสื่อที่เชียร์รัฐบาลซีเรีย ต่างรายงานว่า เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มนักรบญิฮาด จัดฮัต ฟาตะห์ อัล-ชาม กับกลุ่มกบฏอิสลามิสต์ อาห์รอร์ อัล-ชาม แล้วจึงมีการเผารถบัสขึ้นมา
พวกกลุ่มนักรบญิฮาดเหล่านี้ไม่ได้แถลงอะไรเกี่ยวกับการโจมตีที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่ม “กองทัพซีเรียเสรี” (Free Syrian Army) ซึ่งเป็นพวกกบฏที่มีแนวทางสายกลางมากกว่า ได้กล่าวประณามการเผารถโดยสาร โดยบอกว่าเป็น “พฤติการณ์อันสะเพร่าขาดการไตร่ตรอง ซึ่งกำลังสร้างอันตรายให้แก่ชีวิตของประชาชนเกือบ 50,000 คน” ที่ยังตกค้างอยู่ในอะเลปโปตะวันออก
ตามรายงานของสื่อรัฐบาลซีเรีย บอกว่ามีขบวนรถบัสเข้าไปยังอะเลปโปตะวันออกแล้วเมื่อราวเที่ยงวันอาทิตย์ (18) ตามเวลาท้องถิ่น ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การกาชาดสากลและองค์การเสี้ยวเดือนแดงอาหรับซีเรีย
รถบัสเหล่านี้มีกำหนดนำประชาชนราว 1,200 คนออกจากอดีตที่มั่นของฝ่ายกบฏในอะเลปโปตะวันออก เป็นการแลกเปลี่ยนกับประชาชนจำนวนเดียวกันที่จะเคลื่อนออกจากหมู่บ้านโฟอะห์และเคฟรายะ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลยึดครองอยู่
มีรายงานว่าพวกกองกำลังอาวุธฝ่ายหนุนรัฐบาลได้เรียกร้องว่า ประชาชนพวกที่กำลังต้องการการบำบัดรักษาทางการแพทย์ ก็จะต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากพื้นที่ทั้ง 2 แห่ง
ขณะที่องค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) แถลงว่า ในบรรดาผู้คนซึ่งกำลังรอคอยเดินทางออกจากอะเลปโปตะวันออกนั้น มีทั้งพวกเด็กๆ ที่ป่วยและได้รับบาดเจ็บรวมอยู่ด้วย
ยูนิเซฟบอกว่า เด็กเล็กบางคนถูกบังคับให้เดินทางออกไปโดยไม่มีพ่อแม่ของพวกเขาไปด้วย แล้วยังมีเด็กอีกหลายร้อยคนซึ่งติดอยู่ในอะเลปโปตะวันออกอย่างน่าเป็นห่วง