หลังจาก “ซอฟโอเพนนิ่ง” และทดลองเปิดให้บริการมาแล้วประมาณ 1 ปี ที่สุด “โรงแรมอัลมีรอซ” ก็ได้ฤกษ์ “แกรนด์โอเพนนิ่ง” เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา โดยมีผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งในวงการมุสลิม รัฐบาล และวงการท่องเที่ยว รวมทั้งแขกอีกจำนวนมากเข้าร่วมงานเป็นสักขีพยาน
“โรงแรมอัลมีรอซ” แม้จะเป็นธุรกิจของครอบครัวตระกูล “มูลทรัพย์” กระนั้นการกำเนิดของโรงแรมแห่งนี้ก็ได้สร้างความภาคภูมิใจให้มุสลิมไทยทั้งประเทศ นั่นเพราะอัลมีรอซคือธุรกิจขนาดใหญ่ของมุสลิมที่ได้ออกไปยืนเทียบชั้นธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทย อย่างที่น้อยครั้งนักจะเกิดกับธุรกิจที่มีมุสลิมเป็นเจ้าของ
“เดอะลีดดิ้งฮาลาลโฮเต็ล” โรงแรม 4 ดาว ฮาลาล 100 % ทั้งระบบ แห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย คือแนวคิดของอัลมีรอซที่ถูกโปรโมทออกไป
การหาญกล้าทำธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ของตระกูล “มูลทรัพย์” ครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้ “รอศักดิ์ มูลทรัพย์” ลูกชายคนโตของตระกูล ซึ่งปัจจุบันรั้งตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของโรงแรมแห่งนี้
แต่สำคัญไปกว่านั้นที่ต้องคารวะให้โดยดุษณี ก็คือการนำพาโรงแรม 4 ดาว แห่งนี้เข้าสู่ธุรกิจที่เขาเรียกว่า โรงแรมฮาลาล 100 % แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็น นิช มาร์เก็ต (Niche Market) ขนานแท้
บนเวทีงาน “แกรนด์โอเพนนิ่ง” ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนและอดีตรมว.ต่างประเทศ ซึ่งขึ้นปาถกฐาพิเศษ ถึงกับพูดว่า “โรงแรมอัลมีรอซนอกจากเป็นโรงแรมฮาลาลแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยแล้ว ยังอาจหมายถึงแห่งแรกและแห่งเดียวของภูมิภาคนี้อีกด้วย!!”
“ฮาลาล” หมายถึงถูกต้องตามศาสนบัญญัติของอิสลาม แต่ฮาลาลโฮเต็ล 100% ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่เรื่องอาหารการกินเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงความปลอดภัย ความสะอาด ความน่าเชื่อถือ เชื่อใจ ความซื่อสัตย์ และการให้บริการด้วยคุณภาพชั้นเลิศ
ซึ่งปัจจุบันโรงแรมมุสลิมเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยอาจมีฮาลาลแค่บางส่วน เช่น ครัวฮาลาล เป็นต้น แต่สำหรับโรงแรมอัลมีรอซนั้น รอศักดิ์บอกว่า “โรงแรมของเราฮาลาลทั้งระบบ” เขายกตัวอย่างเช่น ข้าวของเครื่องใช้ในโรงแรมไม่ว่า ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว ล้วนผ่านการซักที่ถูกต้องตามศาสนบัญญัติ หรือการห้ามนำเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาในห้องพักเป็นต้น
เหตุผลประการหนึ่งที่เขาดำเนินแนวธุรกิจเช่นนี้เพราะมองการณ์ไกลว่า เทรนด์การท่องเที่ยวในอนาคต ลูกค้ารุ่นใหม่จะดีไซน์การเดินทาง ที่พัก และเซอร์วิส ด้วยตนเอง โดยหนึ่งในนั้นก็คือโรงแรมฮาลาลที่จะเป็นที่ต้องการอย่างสูงของตลาดมุสลิม โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางและเอเชียกลาง
รอศักดิ์ กล่าวว่า “ปัจจุบันมุสลิมมีประชากรถึง 1.6 พันล้านคน คิดเป็น 23% ของสัดส่วนประชากรโลก และมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็น 2.2 พันล้านคนในปี 2030 คิดเป็น 26.4% ของจำนวนประชากรโลก ตลาดมุสลิมจึงเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพสูง ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังไม่มีสถานที่พัก ที่รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้แบบฮาลาล 100% ”
นอกจากนั้นเขายังเล็งเห็นว่า เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็จะมาแรงในศตวรรษนี้ ซึ่งโรงแรมฮาลาลก็สามารถตอบโจทย์ที่เข้ากับเทรนด์ดังกล่าวได้
เขาบอกว่าตอนนี้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นนักกีฬาจากชาติต่างๆ ได้ทะยอยเข้ามาใช้บริการกับโรงแรมมากขึ้นเมื่อยามเดินทางมาแข่งขันในประเทศไทย
กระนั้น รอศักดิ์ มูลทรัพย์ ก็บอกว่า “ปีแรกของการทำโรงแรมฮาลาลเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก เพราะยังไม่เคยมีโรงแรมฮาลาลขนาดใหญ่มาก่อนในประเทศไทย”
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำโรงแรมฮาลาล เพราะเป็นการเอาหลักการศาสนาเข้ามาเป็นกรอบ แต่เราพอใจที่จะทำแบบนี้ และภูมิใจที่ได้ทำ เพราะครอบครัวเรารู้สึกว่าเหมือนได้เผยแพร่ศาสนาไปด้วยในตัว” รอศักดิ์ มูลทรัพย์ กล่าวกับเดอะพับลิกโพสต์
เขายังกล่าวด้วยว่า “อัลมีรอซ มาจากภาษาอาหรับ แปลว่ามรดก ซึ่งที่ดินที่ใช้ก่อสร้างโรงแรมรวมถึงทรัพย์สินบางส่วนมาจากมรดกของตระกูลที่พ่อแม่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้ และเราก็ตั้งใจส่งต่อธุรกิจโรงแรมแห่งนี้ไปยังรุ่นลูกหลานเพื่อเป็นมรดกแก่พวกเขาสืบไป”
โรงแรมอัลมีรอซเป็นอาคารสูง 16 ชั้น ตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์อิสลามิกดีไซน์ทันสมัย โทนสีทองและสีน้ำตาล มีห้องพัก 246 ห้อง โดยในจำนวนนี้มีห้องซูเปอร์วีไอพี 4 ยูนิต ตั้งอยู่ริมถนนรามคำแหง ซอย 5 ที่เดินทางสะดวก ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ทางด่วน และสถานีแอร์พอร์ตลิงก์
โรงแรมอัลมีรอซ มีห้องอาหาร 3 ห้อง ได้แก่ ห้องอาหารดิวาน (Diwan) เสิร์ฟอาหารไทยและนานาชาติ ห้องบารากัต (Barakat) เสิร์ฟอาหารเมดิเตอร์เรเนียน และห้องปาปิรัส (Papyrus) ให้บริการอาหารเช้า นอกจากนั้นยังมีห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้เข้าประชุมได้ถึง 500-1,200 คน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดงาน ห้องละหมาดแยกชายและหญิง ฟิตเนสและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ
สำรองห้องพักโทร 02-136-8700 อีเมล info@almerozhotel.com หรือเว็บไซต์ www.almerozhotel.com