มหากาพย์ฟ้องร้องสิ้นสุด หลังศาลฎีกาพิพากษาให้กรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ (กอ.กทม.) ชนะคดีปลดอีหม่ามเฟาซัน หลังปูเต๊ะ พ้นตำแหน่งอีหม่ามมัสยิดต้นสน
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่โรงแรมรีเจนท์ ย่านรามคำแหง คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร (กอ.กทม.) จัดแถลงข่าวเรื่องคำพากษาศาลฎีกา กรณีนายพัฒนา หรืออีหม่ามเฟาซัน หลังปูเต๊ะ เป็นโจทก์ฟ้องกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ
นายสมัย เจริญช่าง กรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องจาก คณะกรรมการมัสยิดต้นสน บางส่วนหมดวาระลง บางส่วนเสียชีวิต ทำให้มีกรรมการไม่ครบองค์ที่จะบริหารมัสยิด ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว นายพัฒนา หลังปูเต๊ะ หรืออีหม่ามเฟาซัน อีหม่ามมัสยิดต้นสนได้ทำหน้าที่บริหารกิจการงานของมัสยิดเรื่อยมา จนกระทั่งมีความพยายามจากสัปบุรุษมัสยิดที่จะให้มีการเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา แต่ก็มีการขัดแย้งเรื่องทะเบียนและจำนวนสัปบุรุษของมัสยิด
ที่สุดถูกนายมนูญพันธ์ รัตนเจริญ สัปบุรุษมัสยิดได้ไปร้องเรียนกล่าวหาต่อคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร(กอ.กทม.) ว่า นายพัฒนามีพฤติการณ์ที่นำมาซึ่งความเสียหายแก่มัสยิดต้นสน บกพร่องต่อหน้าที่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและประโยชน์ของมัสยิดต้นสน คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ (กอ.กทม.) ในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับมัสยิดในกทม. จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าว
“กอ.กทม. ได้ทำหนังสือเรียกนายพัฒนาให้มาชี้แจงถึง 3 ครั้ง แต่ก็บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมมา” นายสมัย กล่าวและว่า “จนกระทั่งในครั้งที่ 3 ทางกอ.กทม.ก็ได้แจ้งไปว่าหากยังไม่มาทางกอ.กทม.ก็ต้องพิจารณาตามหลักฐานเท่าที่มีอยู่”
“ที่สุด กอ.กทม. จึงได้ประชุมตัดสินและมีมติให้ถอดถอนนายพัฒนาพ้นจากตำแหน่งอีหม่ามมัสยิดต้นสน จากนั้นจึงได้มีคำสั่งไปยังผู้ที่ถูกถอดถอน” นายสมัย กล่าว
นายสมัยกล่าวต่อว่า จากนั้นผู้ถูกถอดถอนได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย (กอท.) แต่กอท.ก็พิจารณาและตัดสินยืนตามที่ กอ.กทม. ตัดสิน
“ตามพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 คำตัดสินของกอท.ถือเป็นที่สิ้นสุด แต่นายพัฒนาก็ได้ไปฟ้องคณะกรรมการอิสลามกรุงเทพฯ และคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ต่อศาลแพ่งธนบุรี” นายสมัย กล่าว
ทั้งนี้ นายพัฒนา ระบุในคำฟ้องว่า กอ.กทม.ได้พิจาณาวินิจฉัยมีมติและมีคำสั่งให้ตนพ้นจากตำแหน่งอิหม่ามประจำมัสยิดต้นสน โดยไม่ให้โอกาสตนชี้แจงข้อเท็จจริงแก้ข้อกล่าวหา มติและคำสั่งถอดถอนตนออกจากตำแหน่งอิหม่ามไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกลั่นแกล้ง ทำให้ตนได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจากบุคคลทั่วไป เป็นการละเมิดต่อตน จึงขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมและมีคำสั่งที่ให้ตนพ้นจากตำแหน่งอิหม่ามประจำมัสยิดต้นสน โดยให้ตนดำรงตำแหน่งอิหม่ามประจำมัสยิดต้นสนต่อไป และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระค่าเสียหายให้ตนเป็นเงินสี่สิบล้านบาท
ส่วนนายอาหะหมัด ขามเทศทอง กรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ และกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนมติและคำสั่งถอดถอนโจทก์ออกจากตำแหน่งอิหม่าม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสี่สิบอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ และจำเลยทั้งสี่สิบฏีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วฟังได้ว่ามติของจำเลย (คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย)ที่ให้ถอดถอนโจทก์ออกจากตำแหน่งชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบและหลักการศาสนา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์นอกจากนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลฏีกาไม่วินิจฉัยให้ พิพากษายืน
นายอาหะหมัด กล่าวว่า “คดีนี้ได้ถึงที่สุดเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา โดยสรุปคือศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ให้คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นฝ่ายชนะคดี”
“เรื่องคดีที่เกิดขึ้นนี้ ที่มาของประเด็นปัญหานั้นมาเป็นเรื่องระหว่างสัปบุรุษมัสยิดต้นสนกับนายพัฒนา ไม่ใช่ระหว่างนายพัฒนากับกอ.กทม. แต่เราเข้ามาทำหน้าที่ตามกฎหมายเมื่อมีผู้ร้องเรียนมา” นายอาหะหมัด กล่าว
“หน้าที่ของ กอ.กทม. เสร็จสิ้นแล้ว จากนี้ก้เป็นหน้าที่ของผู้รักษาการตำแหน่งอีหม่าม คอเต็บ บิลาล ที่จะดำเนินการให้มีการเลือกตั้งต่อไป แต่ปัญหาก็ติดอยู่ที่นายพัฒนาว่าจะมอบเอกสารต่างๆ ให้หรือไม่ ถ้ายังดื้อแพ่งไม่ยอมมอบการเลือกตั้งก็คงต้องใช้เวลาและถูกยื้อไปอีก” นายอาหะหมัด กล่าว
กล่าวสำหรับมัสยิดต้นสนเป็นมัสยิดเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับตั้งแต่สมัยอยุธยา ในส่วนของสุสานของมัสยิดต้นสนนั้นเป็นที่ฝังศพของบุคคลสำคัญจำนวนมาก ส่วนคดีความการถอดถอนนายพัฒนา หลังปูเต๊ะ หรืออีหม่ามเฟาซัน จนนำไปสู่การฟ้องร้องนั้นเกิดขึ้นยืดเยื้อมานานหลายปีจนกระทั่งศาลฎีกามีคำพิพากษาดังกล่าว