ในยุคก่อนการมาของอิสลามสู่ดินแดนอาระเบีย นครมักกะห์เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าของภูมิภาคและทั่วโลก พ่อค้าจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลกมีอิสระในการเดินทางไปทั่งทั้งภูมิภาคเพื่อการค้าของตน
วันนี้มักกะห์ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แต่เป็นเวลากว่า 14 ศตวรรษแล้วที่นครแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาของมุสลิมทั่วโลกเพื่อการแสวงบุญ (ฮัจย์และอุมเราะห์)
นับตั้งแต่มีการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและปิดล้อมประเทศกาตาร์จากเพื่อนบ้านอาหรับ แม้กระทรวงการต่างประเทศของซาอุดิอารเบียจะระบุในทวิตเตอร์ว่า ผู้แสวงบุญชาวกาตาร์จะไม่ถูกละเลยหรือได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการเมืองในครั้งนี้
ทว่าในข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น!!
มีผู้แสวงบุญชาวกาตาร์ที่เดินทางไปยังมักกะห์เพื่อทำอุมเราะห์จำนวนหนึ่งแล้วที่ได้รับผลกระทบจากการที่สายการบินกาตาร์ไม่ได้รับอนุญาตให้บินเข้า-ออกซาอุฯ ได้อีกต่อไป ตั๋วขากลับของพวกเขาไม่สามารถใช้ได้และจำเป็นต้องซื้อตั๋วใหม่ของสายการบินอื่น และต้องเดินทางผ่านประเทศที่สามเพื่อกลับบ้านเกิดกาตาร์
และเมื่อไม่นานมานี้ชาวกาตาร์ที่ต้องการเดินทางไปแสวงบุญยังนครมักกะห์ซึ่งต้องผ่านสนามบินโอมาน แต่ปรากฏว่าโอมานแอร์แจ้งกับพวกเขาว่า สายการบินได้รับคำแนะนำว่าไม่อนุญาตให้ชาวกาตาร์บินเข้าไปยังสนามบินเจดดาห์ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทำให้ชาวกาตาร์และมุสลิมทั่วโลกเสียใจ และเป็นหายนะซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น
ในฐานะที่เป็นมุสลิม ชาวกาตาร์ควรได้เดินทางไปยังนครมักกะห์โดยง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามรัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ใช้ประโยชน์จากการเป็นผู้พิทักษ์เมืองมักกะห์เพื่อบรรลุวาระทางการเมืองของพวกเขาต่อกาตาร์
ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซาอุดิอาระเบียได้จำกัดชาวมุสลิมจากบางประเทศมิให้เข้าไปแสวงบุญในนครมักกะห์ แต่หลายครั้งแล้วที่มีการใช้วิธีการแบบนี้เพื่อสร้างแรงกดดันต่อประเทศที่ไม่ยอมสยบต่อนโยบายต่างประเทศของซาอุดิอาระเบีย
ศาสนาไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายการเดินทางทางจิตวิญญาณของผู้ใด โดยเฉพาะต่อกลุ่มประเทศที่มีศรัทธาเดียวกัน ใช้ภาษาเดียวกัน และศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน ซึ่งหวังว่าวิกฤตินี้จะได้รับการแก้ไขในเร็ววัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลจากกระใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดวิกฤติศรัทธาและทำให้ซาอุดิอาระเบียสูญเสียสถานะนำในหมู่มุสลิมเสียแล้ว!!