อัลจาซีรา – เผยหลักฐานใหม่เอฟบีไอ ชี้สถานทูตซาอุฯ ในสหรัฐฯ อาจให้การสนับสนุนการฝึกแก่ผู้ก่อการร้ายก่อนลงมือปฏิบัติการจริงในเหตุการณ์โจมตีสหรัฐฯ 9/11
หลักฐานใหม่ในคดี 11 กันยา (9/11) ที่ฟ้องร้องรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย กล่าวหาว่า สถานเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบีย ในกรุงวอชิงตัน อาจให้ทุนสนับสนุนการฝึกซ้อมก่อนลงมือปฏิบัติการจริงในการโจมตีครั้งร้ายแรงเมื่อ ปี 2011 สื่อสหรัฐฯ รายงาน
หลักฐานใหม่นี้ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของคดีในการฟ้องร้องรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย นิวยอร์กโพสต์รายงานเมื่อวันเสาร์ (9 ก.ย.)
หลักฐานนี้เผยว่า สถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ได้จ่ายเงินให้ชาวซาอุดีอาระเบียสองคนบินจากฟินิกซ์ไปวอชิงตันสองปีก่อนที่เครื่องบินจะชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ เพนทากอน และตกในสนามในเพนซิลเวเนีย โดยการเดินทางของชายซาอุฯ 2 คนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมก่อนลงมือปฏิบัติการจริง
ซาอุดิอารเบียได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 (พ.ศ.2544) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน
ทนายความของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกล่าวว่า พยานหลักฐานบ่งชี้ว่า “รูปแบบของการสนับสนุนด้านการเงินและการดำเนินงาน” ในเหตุการณ์ 9/11 มีต้นทางการสมรู้ร่วมคิดจากทางการซาอุดิอาระเบีย นิวยอร์กโพสต์รายงาน
หลักฐานนี้สามารถสนับสนุนการอ้างที่ว่า เจ้าหน้าที่และสายลับของซาอุดีอาระเบียได้ให้คำแนะนำและสนับสนุนการจี้เครื่องบิน
ด้าน วาฮีด นัสเซอร์ (Waleed Nassar) ทนายความด้านข้อพิพาทระหว่างประเทศซึ่งเป็นตัวแทนองค์กรการกุศลซาอุดิอาระเบีย 2 แห่งที่เป็นจำเลยในคดี 9/11 ร่วมกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า หลักฐานนี้รวมทั้งสิ่งอื่นอีกจำนวนมากที่ถูกบรรจุในคดี คือคำพูดเสียดสีเหน็บแนมและพยานแวดล้อมกรณี (พยานหลักฐานทางอ้อม)
“หน้าที่ของโจทก์คือการแสดงสิ่งที่ตรงประเด็นมากกว่านี้ ซึ่งนั่นเป็นความหวังเดียวของพวกเขาในการที่จะสามารถนำซาอุดีอาระเบียไปสู่การดำเนินคดี” นายนาสซาร์กล่าว
เรื่องนี้อ้างอิงเอกสารของเอฟบีไอ ในการกล่าวหานักศึกษาซาอุดิอาระเบีย คือ นายโมฮัมหมัด อัลกอดายีน และ นายฮัมดาน อัลชาลาวี ว่าแท้จริงแล้ว 2 คนนี้เป็นสมาชิกของ “เครือข่ายสายลับซาอุฯ ในสหรัฐ” และร่วมมือในการสมคบคิดโจมตีสหรัฐฯ
โดยในระหว่างการเดินทางโดยเครื่องบินในเดือนพฤศจิกายนปี 1999 (พ.ศ.2542) มีรายงานว่า ชายซาอุฯ 2 คนนี้ได้พยายามเข้าห้องนักบินเพื่อทดสอบระบบความปลอดภัย นักบินได้ขอลงนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพวกเขาถูกสอบปากคำโดยเอฟบีไอซึ่งในที่สุดได้ปล่อยตัวไป
บิล ลอว์ ซึ่งเป็นนักข่าวที่เชี่ยวชาญด้านกิจการอ่าวอาหรับกล่าวกับสำนักข่าวอัลจาซีราว่า “ในขั้นตอนนี้ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น”
เขาเสริมว่า กรณีนี้เขาเชื่อว่า “มีข้อบ่งชี้บางประการที่ชี้ให้เห็นว่าบางทีอาจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย แต่มีคนใกล้ชิด บางทีอาจจะเป็นคนในครอบครัวชนชั้นปกครอง บุคคลที่อยู่ในหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ ที่อาจช่วยอำนวยความสะดวกบางอย่างในการซ้อมก่อนลงมือปฏิบัติการจริง … ที่ต่อมากลายเป็นการโจมตีที่น่ากลัวโจมตีของเหตุการณ์ 9/11”
กฎหมาย 9/11
เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามสิทธิทางกฎหมายของสหรัฐฯ ที่วุฒิสภาอนุมัติเมื่อปีที่แล้ว (กฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมต่อผู้สนับสนุนการก่อการร้าย หรือ จัสต้า -JASTA) ซึ่งทำให้ครอบครัวของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการโจมตี 11 กันยายนสามารถจะฟ้องรัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้
กฎหมายนี้ซึ่งแต่เดิมถูกคัดค้านและวีโต้โดยประธานาธิบดีบารักโอบามา ช่วยให้ผู้รอดชีวิตและญาติของผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีต่อรัฐบาลต่างประเทศในศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และเรียกร้องค่าชดเชยได้หากรัฐบาลดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ว่าต้องรับผิดชอบต่อการโจมตีบนดินแดนของอเมริกา
ผู้ก่อการร้าย 15 คนใน 19 คนที่โจมตีในปี 2544 เป็นชาวซาอุดิอาระเบีย ครอบครัวของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อใช้เวลาหลายปีในการล็อบบี้นักการเมืองเพื่อให้มีสิทธิที่จะฟ้องร้องซาอุฯ ต่อศาลในสหรัฐฯ สำหรับบทบาทใด ๆ ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่เกี่ยวข้อง
ซาอุดิอารเบียปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการโจมตีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คนและเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ของสหรัฐฯ