ผมไม่เคยคิดว่าต้องพูดแบบนี้มาก่อน แต่ก็ต้องขอบคุณ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” จริงๆ ต่อแถลงการณ์ของเขาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่ประกาศรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของยิวไซออนิสต์
เพราะด้วยการแสดงจุดยืนเช่นนี้ของเขา จึงได้ปลุกชาวโลกให้ตื่นขึ้นมาสนใจ “ชะตากรรม” ของชาวปาเลสไตน์ และหันมาทำความเข้าใจเรื่องความสำคัญของ “กรุงเยรูซาเล็ม” กันมากขึ้น
เพียงแค่ได้รับข้อมูลว่าชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกลืมที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มตะวันออก 350,000 คน จะต้องผจญกับอะไรบ้างหากเยรูซาเล็มต้องตกเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ผู้ไร้ปากเสียงทางการเมืองเหล่านี้ก็ได้รับแรงสนับสนุนอย่างฉับพลันจากอินโดนีเซียไปจนถึงชิลี เมืองหนาวอย่างโตรอนโตไปจนถึงเขตร้อนแอฟริกา และในส่วนอื่นๆ ของโลก
การตอบโต้ที่รุนแรงทั่วโลกต่อถ้อยแถลงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี้เป็น “สิ่งรับประกัน” ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ หรืออิสราเอลไม่อาจตัดสินใจอย่าง “ผิดกฎหมาย” และความพยายามของไซออนิสต์ที่จะยึดครองพื้นที่สำคัญของ 3 ศาสนา ยูดาย-คริสต์-อิสลาม ก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
เมื่อเดือนก่อนหน้านี้ เราคงไม่เชื่อ ถ้าใครมาพูดหรือบอกว่า “มาห์มูด อับบาส” ประธานาธิบดีปาเลสไตน์, “เชค อะหมัด ตอยยิบ” แกรนด์อีหม่ามแห่งอัลอัซฮัรและหนึ่งในผู้นำศาสนาระดับสูงแห่งประเทศอียิปต์, “สมเด็จพระสันตะปาปา ทาวาดรอส ที่ 2” ผู้นำสูงสุดคริสตจักรคอปติกออร์โธดอกซ์ แห่งอียิปต์ จะปฏิเสธที่จะพบปะกับรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ “นายไมค์ เพนซ์” ที่มีกำหนดการเยือนทุกคนที่กล่าวชื่อมา
แต่แล้ว พวกเขาก็ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อคำขออย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังมีการประกาศรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
ที่สำคัญคือโลกมุสลิมเอง ที่ก่อนหน้านี้แตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวกชัดเจน ทั้งในทางการเมืองระหว่างประเทศระหว่าง “ซาอุฯ-อิหร่าน” หรือปัญหาระหว่างชาติเพื่อนบ้าน “ซาอุฯ-กาตาร์” รวมทั้งปัญหาการแบ่งแยกทางนิกาย “ซุนนี-ชีอะห์”
แต่กรณีปัญหาเยรูซาเล็มนี้ได้หลอมรวมพวกเขาให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง
ในระดับชาติได้แสดงออกผ่านจุดยืนของ “โอไอซี” ที่ 57 ผู้นำจากทั่วโลกมุสลิมได้พบกันที่กรุงอิสตันบูล และประกาศ “ปฏิญญาอิสตันบูล” ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า “อิสรภาพแห่งเยรูซาเล็ม” (Freedom for Jerusalem) โดยระบุว่าเยรูซาเล็มตะวันออกนั้นคือเมืองหลวงของปาเลสไตน์ ส่วนในระดับประชาชนก็ได้แสดงออกผ่านการเดินขบวนประท้วงที่แผ่ขยายไปตามท้องถนนทั่วโลก
จุดยืนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ว่าจะด้วย “การกระทำที่โง่เขลา” หรือมีแรงผลักจากอะไร แต่ก็คงจะเป็นไปตามที่คำทำนายของนายพลอามีร์ ฮาตามี รมว.กลาโหมอิหร่านซึ่งได้กล่าวไว้เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า “ย่างก้าวของทรัมป์ จะช่วยเร่งการล่มสลายของระบอบไซออนิสต์ และจะเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่ชาวมุสลิม”
ทรัมป์ รวมทั้งนายทุนและผู้สนับสนุนไซออนิสต์ของเขา อาจไม่ฉุกคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น พวกเขามองอย่างไร้เดียงสาว่าประเด็นเยรูซาเล็มเป็นเพียงเรื่องของอิสราเอลและปาเลสไตน์ และการใช้กำลังอำนาจบีบบังคับจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย พวกเขาไม่ได้คิดให้ละเอียดว่าประเด็นความสำคัญของอัลกุดส์ / เยรูซาเล็มนั้นสะท้อนอยู่ในหัวใจและความคิดของคนจำนวนมากทั่วโลกเช่นไร
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลังจากนี้ ก็คือ เราจะทำอย่างไรให้มั่นใจว่าความรักต่อเยรูซาเล็มในขณะนี้จะไม่เลือนหายไปภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ หรือแค่ไม่กี่เดือน ซึ่งนั่นจำเป็นจะต้องมีการดำเนินการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อที่จะแปรความรักนี้ให้ไปสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน
มิฉะนั้น กรณีปัญหาปาเลสไตน์และเยรูซาเล็มนี้ ก็คงจะเงียบหายไปตามสายลมเหมือนที่ผ่านๆ มา!!
บรรณาธิการบริหาร