เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา “ดร.มหาเดร์ มูฮัมหมัด” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวปาถกฐาในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติชี้ ต้องให้การรับรองปาเลสไตน์ และยับยั้งความป่าเถื่อนของอิสราเอล หากโลกต้องการยุติการก่อการร้าย เว็บไซต์ข่าว นิวสเตรทไทมส์ ของมาเลเซียรายงาน
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้ายในปัจจุบันรังแต่จะยืดเยื้อหากรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริงไม่ได้ถูกกล่าวถึง
“การทำสงครามกับผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันนี้จะไม่มีทางสิ้นสุด จนกว่ารากเหง้าจะถูกค้นพบและถูกกำจัด และเอาชนะใจและความรู้สึก”
“รากเหง้าคืออะไร? ในปี 1948 (พ.ศ.2491) ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ได้ถูกยึดครองเพื่อสร้างรัฐอิสราเอล ชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารหมู่และถูกบังคับให้ออกจากมาตุภูมิของพวกเขา”
“พวกเขาพยายามที่จะต่อสู้กับสงครามตามรูปแบบ (conventional war) โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านที่เห็นอกเห็นใจ แต่สมัครพรรคพวกของอิสราเอลมั่นใจว่าความพยายามนี้ล้มเหลว ดินแดนปาเลสไตน์ถูกยึดครองเพิ่มขึ้น”
“ความไม่พอใจและความโกรธไม่สามารถต่อกรกับสงครามตามรูปแบบ ชาวปาเลสไตน์จึงหันไปใช้ในสิ่งที่เราเรียกว่าการก่อการร้าย” ดร. มหาธีร์กล่าวในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติ (UNGA) กรุงนิวยอร์ก
ไม่มีประเทศใดและบุคคลใดที่ปลอดภัยก็เพราะเหตุนี้ เขากล่าว
“เพื่อต่อสู้กับ ‘ผู้ก่อการร้าย’ มาตรการรักษาความปลอดภัยทุกรูปแบบ อุปกรณ์และเครื่องมือทุกชนิดถูกงัดมาใช้งาน พี่ใหญ่ (Big brother) ก็เฝ้าดูอยู่ แต่พฤติการณ์แห่งความน่ากลัวก็ยังดำเนินต่อไป”
เขากล่าวว่า โลกไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดความเลินเล่อของอิสราเอล
“โลกเมินเฉยแม้อิสราเอลจะฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดเรือส่งยา อาหาร และวัสดุก่อสร้างในน่านน้ำสากล”
และเมื่อชาวปาเลสไตน์ยิงจรวดที่ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งไม่ได้ทำอันตรายแก่ผู้ใด “ก็ถูกตอบโต้อย่างใหญ่หลวงโดยอิสราเอล ยิงขีปนาวุธและทิ้งระเบิดโรงพยาบาล โรงเรียนและอาคารอื่นๆ ฆ่าสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์รวมทั้งเด็กนักเรียนและผู้ป่วยในโรงพยาบาล”
“ดร.มหาเดร์ มูฮัมหมัด” กระแทกแดกดันด้วยการกล่าวว่า โลกได้ให้รางวัลแก่อิสราเอล รวมทั้งจงใจ
“ยั่วยุปาเลสไตน์โดยการรับรองกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล”
“มันคือความโกรธและความไม่พอใจของชาวปาเลสไตน์และผู้เห็นอกเห็นใจพวกเขา ที่เป็นมูลเหตุทำให้พวกเขาหันไปใช้ในสิ่งที่เราเรียกกันว่าการก่อการร้าย แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องยอมรับว่าพฤติการณ์ใดๆ ที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้คนก็เป็นองค์ประกอบของการก่อการร้ายเช่นกัน”
“ดังนั้นประเทศทั้งหลายที่ทิ้งระเบิดทางอากาศหรือยิงจรวดที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บพิการ และฆ่าประชาชนที่ไร้เดียงสาก็คือบุคคลที่น่าสะพรึงเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็คือพฤติการณ์แห่งการก่อการร้ายเช่นเดียวกัน”
“มาเลเซียรังเกียจการก่อการร้าย เราจะสู้กับพวกเขา แต่เราเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะต่อสู้กับการก่อการร้ายก็คือการขจัดที่ต้นเหตุ”
“ปล่อยให้ชาวปาเลสไตน์กลับไปสู่ดินแดนของพวกเขา ให้มีรัฐปาเลสไตน์ ให้มีความยุติธรรมและหลักนิติธรรม การสู้รบต่อต้านพวกเขาไม่อาจยุติการก่อการร้าย และไม่ประสบความสำเร็จในการขจัดการก่อการร้ายจากพวกเขาได้”
นอกจากนั้น ดร. มหาเดร์ยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพม่าและนางอองซาน ซูจี ต่อการสังหารหมู่ชาวโรฮิงญา
“ผมศรัทธาในการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น แต่โลกมองดูการสังหารหมู่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลยหรือ? ประเทศต่างๆ ล้วนมีเอกราช แต่นี่หมายความว่าพวกเขามีสิทธิที่จะสังหารหมู่ประชาชนของตนได้เพียงเพราะพวกเขามีเอกราชกระนั้นหรือ? “เขาตั้งคำถาม