บันทึกของ “มร.แฮมเฟอร์” : สายลับอังกฤษในดินแดนออตโตมัน (3)

ภาคที่ 3

ชะตากรรมของเพื่อนๆทั้ง 9 คน

ทางกระทรวง ได้เรียกตัวพวกเราทั้ง 10 คน ให้กลับมายังกระทรวง เพื่อรายงานผลความคืบหน้าและรับนโยบายใหม่ในการปฏิบัติภารกิจครั้งต่อไป ซึ่งในครั้งนี้ ถือว่าโชคร้ายสำหรับพวกเรา ที่ บรรดาบุคคลที่ถูกส่งตัวไปนั้น ได้กลับมาเพียแค่ 6 คนเท่านั้น เหตุผลที่พวกเขามิได้กลับมานั้นมีสาเหตุบางประการดังนี้

คนหนึ่งได้เข้ารับอิสลาม และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอียิปต์ตามคำบอกเล่าของเลขาธิการซึ่งทางด้านเลขาธิการเองก็มิได้กังวลแต่อย่างใด เพราะเขามิได้เปิดเผยความลับต่างๆ ของเขาที่เป็นสายของกระทรวง

อีกคนหนึ่ง ที่มีสัญชาติรัสเซียนั้นได้กลับยังประเทศของตนจึงสร้างความหวาดวิตกแก่ทางเลขาธิการ ว่า เขาผู้นั้นอาจเป็นสายของโซเวียต ที่แอบแฝงตัว เข้ามาทำงานในหน่วยงานของเราซึ่งเมื่อได้รับข้อมูลและปฏิบัติภารกิจแล้วเสร็จ จึงกลับยังประเทศของตน

ส่วนอีกคนหนึ่งที่ทางกระทรวงได้ส่งไปยังเมืองหนึ่งในอิรักนั้นได้ตายไปด้วยกับโรค อหิวาที่แพร่ระบาดในขณะนั้น ตามคำบอกของเลขาธิการ

สำหรับคนที่ 4  นั้นหลังจากที่ทางกระทรวงได้ส่งตัวเขายังเมืองศอนอาอฺ(กรุงซานา) ในประเทศเยเมนและได้เฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอด และ ก็มิได้มีการติดต่อกันโดยที่เขาได้เขียนรายงานความคืบหน้าส่งยังกระทรวงเป็นระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี จากนั้นก็ขาดการติดต่อซึ่งทางกระทรวงก็ได้พยายามสืบหาและติดต่อแต่ก็หาได้พบไม่ อาจจะสาบสูญหายก็ได้

ดังนั้นการสูญเสียบุคลากรทั้ง 4 คนได้สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับกระทรวงเพราะกว่าที่จะได้บุคลากรทั้ง 10 คนมานั้น ทางกระทรวงได้ทำการเลือกสรรและพิจารณาอย่างละเอียดถึงความสามารถพิเศษเฉพาะด้านของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะพวกเรานั้นคือกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่มีศักยภาพสูง ดังนั้นการสูญเสียบุคคลหนึ่งบุคคลใดของพวกเรา จึงถือได้ว่าเป็นความสูญเสียและทุกข์โศกอย่างมหันต์สำหรับพวกเราและกระทรวง

ภายหลังจากที่เลขาธิการได้รับฟังการรายงานผลความก้าวหน้าแห่งภารกิจของข้าพเจ้าแล้ว จึงได้ส่งตัวข้าพเจ้าพร้อมกับเพื่อนอีก 5 คนเข้าไปร่วมสัมมนาหนึ่งซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พวกเราได้รายงานผลให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับทราบ การประชุมสัมมนาครั้งนี้มีบุคลากรต่างๆ ของกระทรวงและมีท่านรัฐมนตรีว่าการเป็นประธานในที่ประชุม จากนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ได้นำเสนอถึงภารกิจหลักๆ ที่สำคัญที่ได้ปฏิบัติมา ให้ผู้เข้าร่วมรับทราบ 

รัฐมนตรีว่าการและเลขาธิการพร้อมกับบุคคลที่ได้เข้าประชุมครั้งนี้ได้ทำการชื่นชมข้าพเจ้าเป็นพิเศษ

แต่ทว่า หากจะประเมินผลตามลำดับคะแนนแล้วข้าพเจ้าได้อันดับที่สามรองจากเพื่อนลงมาอีกสองคน คือ Ger Belcoude ที่ได้อันดับที่ 1 และ Henry Fanse ที่ได้อันดับ 2  จะอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าถือว่าการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้มันได้ประสบความสำเร็จในการยกระดับและพัฒนาตัวเองในด้านการเรียนรู้หลักคำสอนของอิสลาม คัมภีร์อัล-กุรอาน ภาษาอาหรับ และภาษาตุรกี เห็นได้อย่างชัดเจน

แต่ทว่าในด้านการรายงานผลในประเด็นจุดแข็งและจุดอ่อนของรัฐบาลอุษมานีย์ให้กับกระทรวงนั้น ยังทำไม่ได้ดีเท่าที่ควร

หลังจากปิดการประชุมสัมมนาแล้วซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 6 ชั่วโมง ทางเลขาธิการก็ได้บอกถึงจุดอ่อน/จุดด้อยของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองก็ได้ตอบกับเลขาธิการว่า เป้าหมายหลักของการปฏิบัติภารกิจในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นก็เพื่อเรียนรู้ภาษา และหลักคำสอนของอิสลามเท่านั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่กับสิ่งเหล่านี้ จึงมิค่อยมีเวลาจะเขียนรายงานต่างๆ เหล่านี้ แต่หากว่าท่านยังคงมอบความไว้วางใจต่อข้าพเจ้าในการปฏิบัติภารกิจครั้งหน้าอีก ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติให้มันดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน

เลขาธิการพูดว่า  คุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนและหวังว่าคุณจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันในครั้งนี้

จากนั้นเลขาธิการได้พูดอีกว่า  มิสเตอร์ เฮมเฟอร์ คุณมีภาระกิจหลักอยู่สองเรื่องด้วยกัน ที่จะต้องปฏิบัติภารกิจในการเดินทางในครั้งหน้า

1  จะต้องค้นหาจุดด้อยและจุดอ่อนของบรรดามุสลิม และหาแนวทางในการเข้าไปสร้างความวุ่นวายในหมู่พวกเขาให้ได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นรากฐานหลักในการที่จะมีชัยเหนือศัตรู                                                              

2  เมื่อใดที่คุณค้นพบจุดอ่อนของมุสลิมแล้ว คุณต้องลงมือภาคสนามทันทีซึ่งหากคุณสามารถกระทำได้แล้ว เรามีความมั่นใจว่าคุณคือสายลับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของเราที่สมควรในการจะได้รับเหรียญแห่งเกียติยศจากทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

ข้าพเจ้าพำนักอยู่ที่กรุงลอนดอนประมาณ 6 เดือน ซึ่งในช่วงเวลานั้นข้าพเจ้าได้แต่งงานกับลูกสาวของน้าชายที่มีชื่อว่า Marry Chiral ซึ่งเธอแก่กว่าข้าพเจ้าหนึ่งปี ซึ่งแปลว่าในขณะนั้นข้าพเจ้ามีอายุ 22 ปี และเธอมีอายุ 23 ปี

ลูกสาวของน้าชายข้าพเจ้าเป็นหญิงสาวที่งดงาม มีสติปัญญาและมีความรู้รอบตัวปานกลาง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่สวยงามแห่งการใช้ชีวิตของข้าพเจ้าในการใช้ชีวิตกับเธอ แฟนข้าพเจ้าได้ตั้งครรภ์ก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเฝ้ารอคอยทายาทที่จะเกิดใหม่อย่างใจจดใจจ่อ และแล้วทันใดนั้นเองก็ได้มีคำสั่งเร่งด่วนจากกระทรวงให้ข้าพเจ้าเดินทางไปยังประเทศอิรัก

อิรักถือว่าเป็นประเทศอาหรับประเทศหนึ่งที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของราชวงค์อุษมานีย์เป็นระยะเวลาอันยาวนาน

คำสั่งที่กระทรวงส่งมาให้ข้าพเจ้านั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการอคอย การถือกำเนิดทายาทของข้าพเจ้าพอดีจึงสร้างความสับสนอยู่ไม่น้อยแต่ทว่าด้วยกับความรักที่มีต่อบ้านเมืองและความอยากที่จะโด่งดัง มีชื่อเสียงเหนือกว่าบุคคลอื่นๆนั้นและมันเหนือกว่าความรักที่มีแก่ลูกเมียจึงทำให้ข้าพเจ้ายอมที่จะทอดทิ้งมันไม่ว่าภรรยาของข้าพเจ้าจะพยายามอ้อนวอนขอร้องอย่างมากเพื่อให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงการเดินทางให้ช้าลงก็ตาม

ข้าพเจ้ามิอาจสร้างให้เกิดความคลางแคลงในใจใดๆทั้งสิ้นต่อการรับคำสั่งดังกล่าว   ในวันที่ข้าพเจ้าจะจำพรากจากเขา เราทั้งสองต่างก็ได้ร่ำให้อย่างมาก ซึ่งภรรยาข้าพเจ้าได้พูดว่า: อย่าได้ลืมเขียนจดหมายถึงเขาด้วยนะ และข้าพเจ้าก็ได้พูดว่า: จะไม่ลืมเขียนจดหมายถึงเธออย่างแน่นอน และหวังว่าเราจะใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขในวันข้างหน้า

คำพูดของภรรยาทำให้หัวใจของข้าพเจ้ารู้สึกหวั่นไหวยิ่งถึงกับต้องการที่จะยกเลิกการเดินทางครั้นนี้  แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเดินทาง ข้าพเจ้าก็ต้องสามารถควบคุมความรู้สึกหวั่นไหวอันนั้นให้ได้ด้วยดี และแล้วข้าพเจ้าจึงทำการ ร่ำลากับภรรยาและมุ่งหน้ายังกระทรวงเพื่อรับข้อชี้แนะครั้งสุดท้ายก่อนการเดินทาง

หลังจากนั้น 6 เดือน ข้าพเจ้าได้มาถึงยังเมืองบัสเราะห์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีเผ่าพันธุ์ เครือญาติต่างๆอันหลากหลาย มีทั้งชนชาวชีอะห์ ชาวซุนนี เผ่าพันธุ์อาหรับและเปอร์เซีย อีกทั้งมีชาวคริสเตียนอยู่ในเมืองนี้อีกด้วย                                          

ชีอะห์กล่าวเช่นใด?

นี่คือครั้งแรกของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้พบกับชีอะห์ ดังนั้นเป็นการที่ดีที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงเรื่องราวของชีอะห์และซุนนีให้รับรู้โดยสังเขป

ชีอะห์เป็นกลุ่มชนที่นับถือตามท่านอะลีซึ่งเป็นคอลีฟะห์ ตัวแทนของท่านศาสดาและอะลีเป็นลูกเขยของท่านศาสดาซึ่งท่านศาสดามีบุตรสาวชื่อว่า ฟาติมะฮ์  ขณะเดียวกันท่านอะลีก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านศาสดา

ชาวชีอะห์กล่าว่าท่านศาสดามูฮัมหมัดได้แต่งตั้งให้อะลีเป็นคอลีฟะห์ภายหลังจากท่าน ซึ่งผู้ที่จะมาเป็นตัวแทนของท่านศาสดานั้นคือ อะลีและลูกหลานของท่านอีก 11 ท่าน

“ข้าพเจ้ามีทัศนคติและเชื่อว่าชีอะห์ คือกลุ่มชนที่อยู่ในแนวทางอันถูกต้อง”    และการที่กล่าวว่า  อะลี ฮาซัน และฮูเซ็น คือ ตัวแทนของท่านศาสดานั้น เพราะว่าในประวัติศาสตร์ได้มีการจดบันทึก “ตามที่ข้าพเจ้าได้ศึกษามานั้น   ”อะลีคือผู้ที่มีคุณลักษณะสูงส่งทั้งในด้านจิตวิญญาณและมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ยิ่ง ที่คู่ควรเป็นคอลีฟะห์ของท่านศาสดา (ซ.ล) 

และเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ด้วยเช่นกันว่า  ท่านศาสดามุฮัมมัด  กล่าวว่า  ฮาซันและฮูเซ็น คือ อิมาม  ซึ่งฮาดิษบทนี้  พี่น้องชาวอะห์ลุลซุนนะห์ก็ให้การยอมรับเช่นกัน  แต่ทว่าข้าพเจ้ายังสงสัยและคลางแคลงใจว่า เป็นไปได้หรือที่ท่านศาสดาจะแต่งตั้งลูกหลานของฮูเซ็นอีก 9 ท่านให้เป็นตัวแทน/คอลีฟะห์  หลังจากฮูเซ็น 

ท่านศาสดาสามารถรับรู้เรื่องราวในอนาคตได้อย่างไร? โดยที่เมื่อท่านจากโลกนี้ไปนั้นฮาซันและฮูเซ็นยังเป็นเด็กอยู่อีก  แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่า  ฮาซันและฮูเซ็นจะมีลูกหลานอีก 9 คนซึ่งเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายอย่างต่อเนื่องกัน? 

แน่นอนมันอาจจะเป็นไปได้หากท่านมุฮัมมัด คือ ศาสนทูตที่แท้จริง  เพราะด้วยกับการการชี้นำของพระเจ้าจึงสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนดังพระเยซูที่ทรงรอบรู้ข่าวคราวในอนาคต แต่ทว่าสภาวะแห่งการเป็นนบีของมูฮัมหมัดนั้นยังเป็นสิ่งที่คลางแคลงใจอยู่อีกตามทัศนะของเราชาวคริสเตียน

บรรดามุสลิมกล่าวกันว่า  คัมภีร์อัล-กุรอานคือบทพิสูจน์แห่งสภาวะการเป็นนบีของนบีมูฮัมหมัด ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ได้อ่านอัล-กุรอานเช่นกัน แต่ก็มิได้พบหลักฐานข้อพิสูจน์อันนี้ แน่นอนยิ่งคัมภีร์อัล-กุรอานคือคัมภีร์ที่สูงส่งเหนือกว่าคัมภีร์เตารอตและอินญีล ในคัมภีร์อัล-กุรอานมีทั้งหลักคำสอนของศิลธรรม จริยธรรม บทบัญญัติที่ว่าด้วยกฎหมายต่างๆ และหลักคำสอนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นการเพียงพอหรือในการพิสูจน์ถึงความสัจจริงในการอ้างว่ามูฮัมหมัดคือศาสดา?

มีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวตนและบุคลิกภาพของมูฮัมหมัดที่สร้างความประหลาดใจยิ่งสำหรับข้าพเจ้า เขาเป็นผู้ที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แล้วยังมีความสามารถเอาคัมภีร์อันสูงส่งมานำเสนอได้เช่นไร? โดยส่วนตัวแล้วเขาคือบุคคลที่มีจริยธรรมอันสูงส่ง และมีสติปัญญาอันเลอเลิศ ซึ่งไม่สามารถหาผู้ใดเทียบเหมือนเขาในคาบสมุทรอาหรับได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นมีเหตุผลเพียงแค่นี้หรือ ที่ไม่รู้หนังสือ ที่สามารถพิสูจน์ถึงการเป็นศาสดาของมูฮัมหมัด?

ข้าพเจ้าทำการไตร่ตรองและนึกคิดอยู่เสมอว่าต้องค้นหาให้พบถึงสัจธรรม ข้อเท็จจริงอันนี้ ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยที่ข้าพเจ้าอยู่ในกรุงลอนดอน ข้าพเจ้าได้ถามบาทหลวงคนหนึ่งถึงประเด็นข้อนี้ซึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง ชัดเจนเท่าใดนัก  เพราะเขาพูดด้วยความหยิ่งยโสและมีอคติ 

หลายครั้งหลายคราด้วยกันที่ข้าพเจ้าได้ทำการถกเถียงกับเชคอะห์หมัดในตุรกี ถึงประเด็นดังกล่าวนั้น ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนและพึงพอใจเท่าที่ควร บางทีก็เพราะเกรงว่าความลับของข้าพเจ้าอาจจะถูกเปิดเผยออกมาหรืออาจสร้างความสงสัยเกิดขึ้นให้กับเขาก็ได้

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าพเจ้าก็ยังถือว่ามูฮัมหมัดนั้นคือ บุคคลที่ยิ่งใหญ่และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือแบบอย่างสำหรับบรรดาศาสดาทั้งหลายของพระองค์ที่ได้ถูกบันทึกไว้ในบรรดาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าที่ข้าพเจ้าได้เคยอ่าน แต่ข้าพเจ้าก็ยังคลางแคลงในการเป็นนบีของเขา ถึงแม้นว่าหากเขามิได้เป็นศาสดาก็ไม่อาจเปรียบเทียบเขาเหมือนกับบุคคลอื่นทั่วๆไปได้ เพราะเขาคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญและผู้ชาญฉลาดทั้งหมด                          

พี่น้องชาวอะห์ลิลซุนนะห์กล่าวเช่นใด?

ส่วนพี่น้องชาวอะห์ลิลซุนนะห์ได้กล่าวว่า  :  บรรดามุสลิมเห็นควรว่าภายหลังจากท่านศาสดานั้นอะบูบักรเหมาะสมที่จะเป็นคอลีฟะห์ จากนั้นก็เป็น อุมัร อุสมาน และอะลี ที่เหมาะสมจะเป็นคอลีฟะห์ ซึ่งเขาได้ละทิ้งคำสั่งเสียของท่านศาสดาและได้ถือเอาความเหมาะสม คู่ควรเป็นบรรทัดฐานในการเลือกสรรผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นคอลีฟะห์ของท่านศาสดา

ข้อขัดแย้งในลักษณะเช่นนี้ก็สามารถพบเห็นในทุกๆศาสนาโดยเฉพาะในคริสต์ศาสนา ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เห็นด้วยกับความขัดแย้งอันนี้ มันจะยังคุณประโยชน์อันใดบ้างหรือ?เพราะทั้งสองคน ทั้งอุมัรและอะลีก็ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งหากวันนี้บรรดามุสลิมที่มีสติปัญญาทั้งหลายทำการคิดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในแต่ละวัน มันจะเป็นการดีกว่าที่จะมาคิดถึงเรื่องราวข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีต

มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้อธิบายและเล่าถึงข้อโต้แย้งและข้อถกเถียงระหว่างชีอะห์กับซุนนีให้กับหัวหน้าบางคนในกระทรวงได้รับฟัง ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวว่า: หากบรรดามุสลิมนั้นประจักษ์ชัดถึงแนวทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตแล้วไซร้ เขาจำต้องละทิ้งความขัดแย้งเหล่านี้แล้วหันมาจับมือกันสร้างความเอกภาพ ภราดรภาพให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา

หัวหน้าจึงได้หันมามองยังข้าพเจ้าแล้วพูดว่า:คุณอย่าได้คิดหาแนวทางในการสร้างเอกภาพให้กับพวกเขา  แต่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญสำหรับคุณที่จะต้องทำคือ   พยายามสร้างรอยร้าวและความแตกแยกให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นให้ได้     

มีอยู่วันหนึ่งทางเลขาธิการ ได้มีการเชิญตัวข้าพเจ้าเข้าไปพบก่อนวันที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปยังเมืองอิรัก ซึ่งเขาได้พูดกับว่า: มิสเตอร์เฮมเฟอร์ ขอให้คุณรับรู้ด้วยว่า จากวันที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง ฮาบิลและกอบิล ขึ้นมา นั้น ความขัดแย้งที่มีอยู่ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดาและเป็น ธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งความขัดแย้งต่างๆเหล่านี้จะคงมีอยู่ตลอดไปจนกว่าพระเยซูปรากฏ

ประเภทของความขัดแย้ง

1. ความขัดแย้งสีผิว ระหว่างสีขาวกับสีดำ            

2.ความขัดแย้งในด้านเผ่าพันธุ์

3. ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ                                   

4. ความขัดแย้งในด้านนิกาย ศาสนา สำนักคิด

5. ความขัดแย้งในด้านเขตพื้นที่ภูมิศาสตรระหว่างประเทศ

ดังนั้นวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการเดินทางของคุณครั้งนี้ คือ การสร้างความขัดแย้งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมและค้นหาชนวนและสาเหตุหลักในความขัดแย้งดังกล่าวเพื่อให้เกิดมีการปะทุขึ้นมาและรวบรวมข้อมูลให้พอเพียงเพื่อส่งยังกระทรวงและทุกครั้งเมื่อมีโอกาสก็จงฉกฉวยโอกาสอันนั้นในการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นและสิ่งเหล่านี้คือรูปแบบแห่งการรับใช้อังกฤษที่ดีที่สุดเพราะเราชาวอังกฤษไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้นอกเสียจากว่าต้องสร้างความแตกแยกและสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ประเทศต่างๆที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเราอยู่เสมอ   เช่นกันเราไม่สามารถทำลายอาณาจักรแห่งอุษมานีย์ได้นอกเสียจากว่าเราต้องสร้างความแตกแยกในหมู่บรรดามุสลิมให้เกิดขึ้นพร้อมกับสร้างฟิตนะห์ต่างๆ เพราะหากเราไม่กระทำเช่นนั้นแล้วโอกาสที่เราจะสามารถเข้าไปครอบครองและมีอิทธิพลในประเทศต่างๆที่มีประชากรจำนวนมากนั้น เป็นไปได้ยาก? เพราะเราเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนน้อยนิด

ดังนั้นด้วยพละกำลังและความสามารถที่มีอยู่นั้นจงพยายามหาวิธีการสร้างร้อยร้าวแห่งความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิมให้ได้ 

ในการนี้ขอให้คุณรับรู้ด้วยว่า อำนาจการปกครองของรัฐบาลตุรกีและรัฐบาลเปอร์เซียนั้นได้อ่อนแอและสั่นคลอนลงทุกขณะ  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ง่ายในการที่จะให้รัฐบาลทั้งสองนั้นล้มสลาย   คุณ “เฮมเฟอร์” จะต้องทำการปลุกระดมให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านประท้วงรัฐบาลของตนเอง เหมือนกับเหตุการณ์ที่มันได้เกิดขึ้นในห้นาประวัติศาสตร์ที่มีประชาชนลุกขึ้นทำการปฏิวัติรัฐบาลของประเทศตนเอง

ดังนั้นหากบรรดามุสลิมไร้ซึ่งเอกภาพและไร้ซึ่งพลังอำนาจแล้วไซร้ มันเป็นอำนาจอันดีที่สุดและง่ายดายยิ่งในการเข้าไปครอบครองพวกเขาเหล่านั้น