พลเรือนอย่างน้อย 41 คนรวมทั้งเด็ก 10 คน เสียชีวิตจากการที่พันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ถล่มเป้าหมายซึ่งเป็นมัสยิดในเมืองอัลซูซะห์ (Al-Susah) เมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ (18-19 ต.ค.) ทางตะวันออกของซีเรีย มิดเดิลอีสต์มอนิเตอร์ รายงาน
กลุ่มสังเกตการณ์เพื่อสิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR) ยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งระบุว่าหลายคนที่ถูกฆ่าตายเป็นญาติชาวอิรักของนักรบไอซิส แม้ว่าบางรายงานจะระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตว่าเกือบ 70 คน
หลายคนที่เสียชีวิตยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของมัสยิดอัลอุสมาน ซึ่งถูกถล่มในระหว่างที่พวกเขาละหมาดวันศุกร์ร่วมกัน ร่วมทั้งบ้านใกล้เคียงมัสยิด
ผู้ก่อการร้าย 22 คน ถูกสังหารในเหตุโจมตีนี้ สหรัฐกล่าวหาว่า มัสยิดถูกใช้เป็นฐานโดยฝ่ายปฏิบัติการของไอซิส ขณะที่พวกเขายังคงต่อต้านการโจมตีของพันธมิตรสหรัฐฯ และกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ที่กองทัพสหรัฐสนับสนุนในจังหวัดเดียร์เอซซูร์ (Deir EZ-Zor)
โฆษกกองกำลังพันธมิตรสหรัฐฯ พันเอก จอห์น ไรอัน ออกมาปกป้องการตัดสินใจนี้ แม้จะมีการทิ้งระเบิดมัสยิดในช่วงเวลาที่พลเรือนต้องไปละหมาดเนื่องจากเป็นวันศุกร์ “การที่ไอซิสใช้มัสยิดในลักษณะนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการละเมิดกฎหมายสงคราม และทำให้มัสยิดเป็นเป้าหมายทางทหารที่มีเหตุผล” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว
เขาเสริมว่า กองกำลังพันธมิตรได้เฝ้าติดตามสถานที่แห่งนี้จนรู้ว่ามีนักรบอยู่เพียงลำพังเท่านั้น และจะตรวจสอบ “ข้อกล่าวหาที่น่าเชื่อถือทั้งหมดของพลเรือนที่เสียชีวิต”
ปฏิบัติการทางภาคอากาศและภาคพื้นดินที่ดำเนินการโดย SDF และกองกำลังพันธมิตรสหรัฐฯ ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิส ในพื้นที่อัลชาฟะห์ (Al-Shafah) และฮาจิน (Hajin) อ้างอิงตามรายงานของ SOHR ระบุว่า การสู้รบนี้ได้สังหารผู้ก่อการร้ายไปแล้ว 414 คน และนักรบของ SDF เสียชีวิตจำนวน 227 คนนับตั้งแต่การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา