ธนินท์-ผู้ชายร่วมสมัยวัย 74

สมัย ที่ผมอายุยี่สิบเศษๆ คุณปู่ยังไม่จากไป แต่แกก็ 90 กว่าแล้ว  เมื่อเวลาอาหารเช้ามาถึง คุณปู่จะเรียกหาผม เพื่อจะได้มีโอกาสคุยกันสารพัดเรื่องโดยเฉพาะเศรษฐกิจ-การเมืองที่ผม สนใจ(อย่างเร่าร้อนตามวัย)

คุณ จะต้องแปลกใจแน่ ที่ชายหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ปี ถกเถียงเรื่องเศรษฐกิจ-การเมืองกับคนวัย 90อย่างถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดราวาศอกให้กัน แต่ในที่สุด ฝ่ายผู้สูงวัยกลับนิ่งฟังผมอย่างสงบ อมยิ้มน้อยๆอย่างเข้าใจแต่ก็สามารถตอบผมได้เคลียร์ทุกประเด็นอย่างเยือกเย็น

พร้อมกันนั้น ก็ปลอบประโลมให้ผมใจเย็นลง ค่อยๆลำดับความคิดความต้องการของตัวเอง และพยายามทำความเข้าใจกับความคิดของคนอื่นๆให้ได้

เวลา ผ่านไปอีกหลายสิบปี อายุผมเลยวัยกลางคนมาแล้ว ผมอาจจะกำลังกลายเป็นคนแก่คนนั้นก็ได้ แต่ผมก็ใฝ่ฝันเอาไว้และตั้งใจจะเป็นให้ได้ นั่นคือ คนสูงวัยที่มีจิตใจกว้างขวาง ชอบที่จะรับฟังอะไรใหม่ๆในสังคมและในโลกอย่างกระตือรือร้นเหมือนเมื่อตอน หนุ่มๆ

คน สูงวัยที่ผมเผชิญอยู่ในโลกมากมายเหลือเกิน ซึ่งจะเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้ ก็คือ ชายวัยทอง ชายวัยหมดประจำเดือน ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ร้าย จิตใจที่เคยเปิดกว้างกลับคับแคบลง ทนไม่ได้กับสิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกราวกับว่า มันเป็นธรรมชาติของชายวัยนี้หรือยังไงก็ไม่รู้

ผม นึกถามตัวเองว่า ทำไมจะต้องเป็นเช่นนั้นด้วยเล่า เมื่อคุณปู่จากไป ผมก็แทบจะไม่มีโอกาสพบคนแบบเดียวกับคุณปู่อีกเลย และก็ยังไม่อยากจะพบตัวเองในสภาพเช่นนั้นเสียด้วย

วัน ดีคืนดี (กว่าสิบปีมาแล้ว) ผมก็ได้พบชายสูงวัยมากอีกคนหนึ่งในหน้าสื่อนี่แหละ แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในวัยเดียวกับคุณปู่ แต่น่าแปลกมากที่ความคิดของเขากลับแหลมคม ล้ำสมัย พร้อมกับจิตใจที่กว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ เขาคงต้องเป็นครูพักลักจำให้ผมแล้วละ

เขา คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาคือเจ้าอาณาจักรซีพี ที่โด่งดังไปทั้งประเทศ และมีอิทธิพลไปทั่วโลกจากการลงทุนอันมหาศาล หรือเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเมืองไทย แต่เขามีปรัชญาในการดำรงชีวิตและศิลปะในการบริหารงานที่ฉลาดลึกล้ำซึ่งทำให้ เขาประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก

บ่อย ครั้งที่เขาออกมาพูดเรื่องเศรษฐกิจแต่ทั้งหมดกลับฟังดูเหมือนถ้อยคำพื้นๆ มันฟังดูเรียบง่าย ราวกับว่า ใครก็พูดเช่นนั้นได้ เพราะเป็นคำที่แสนจะธรรมดา ไม่ได้ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำให้วิลิศมาหราเลิศเลออันใดเพื่อให้ดูดี

บาง เรื่องจึงอาจไปเข้าทางรัฐบาลบ้าง เช่น ในฐานะที่ซีพีทำธุรกิจด้านอาหารสัตว์และการเกษตร คุณธนินท์กลับมองปัญหาการเกษตรไม่เหมือนใคร ขณะที่ธุรกิจของประเทศกำลังมุ่งไปสู่อุตสาหกรรมมาหลายสิบปีแล้ว และนับวันจะยิ่งมีบทบาทสำคัญต่อไปโดยเฉพาะบทบาทของพลังงานน้ำมันที่จะป้อน สู่เครื่องจักร แต่เขากลับมีอีกมุมมองที่ไม่เหมือนใคร

“ควร หมดยุคได้แล้วที่มัวจะขายแรงงานอย่างเดียว กดค่าครองชีพเพื่อให้มีแรงงานต่ำไปผลิตสินค้าถูกๆ  สินค้าเกษตรควรจะถูกผลักดันให้มีราคาสูงขึ้น เกษตรกรต้องมีรายได้ที่ดี สิ่งที่อยากจะบอกคือ ถ้าประเทศไหน เกษตรกรไม่ร่ำรวยประเทศนั้นก็จะไม่ร่ำรวย ถึงร่ำรวยก็จะไม่แน่นแฟ้น ไปศึกษาได้เลยทั่วโลก มีประเทศไหนไม่ปกป้องสินค้าเกษตร แม้แต่อเมริกาเหลือเกษตรกรแค่ 1 % ก็ยังต้องปกป้อง เกษตรกรคือทรัพย์สมบัติของชาติ มันยิ่งกว่าน้ำมันอีก ผมเรียกน้ำมันบนดิน”

แนวคิด ของคุณธนินท์ไม่ใช่จะหาฟังกันง่ายๆ แต่เมื่อคนพูดประสบความสำเร็จร่ำรวยเป็นอันดับ 1 ของประเทศ พูดออกมาแล้วก็น่าคิดทีเดียวละเพราะมันมาจากประสบการณ์แท้ๆ

“สินค้า เกษตรเลี้ยงมนุษย์ น้ำมันเลี้ยงเครื่องจักร ทีนี้ถามกลับว่า เครื่องจักรหรือมนุษย์สำคัญ ถ้ามนุษย์สำคัญกว่า แต่ทำไมผู้ผลิตให้กับมนุษย์ถึงจนเอาจนเอา มีแต่ประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนานี่แหละที่กลัวที่สุดคือสินค้าเกษตร สูง อย่างญี่ปุ่นเขาถือว่า ซามูไรเป็นมือขวา ชาวนาเป็นมือซ้ายของพระจักรพรรดิ เพราะมือขวาปกป้องประเทศ มือซ้ายเลี้ยงคนทั้งประเทศ”

ส่วน เรื่องเงินกู้ 2.2 ล้านที่เป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกินว่าจะทำให้เป็นหนี้กันฉิบหายวายวอดทั้ง ประเทศ ฝ่ายค้านก็ค้านกันเอาเป็นเอาตาย กลัวประเทศจะเป็นหนี้ไปกว่าครึ่งศตวรรษ แต่คุณธนินท์กลับมองว่า เป็นเรื่องที่ควรทำและต้องรีบทำโดยเร็ว

“2.2 ล้านตอนนี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก เป็นผม 6 ล้านล้าน ผมก็ทำ ถ้าโครงการนี้ไม่ผ่าน ต่อไป 6 ล้านล้านก็ไม่รู้จะสร้างได้หรือเปล่า รถไฟความเร็วสูงกว่า 200 กม./ชั่วโมงในญี่ปุ่น เมื่อสร้างเสร็จ ประเทศญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อรถไฟความเร็วสูงไปถึงไหน ก็ทำให้แถวนั้นเจริญขึ้น ที่ดินราคาสูงขึ้น เงินกู้ 2.2 ล้าน ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จีดีพีสูงขึ้น การจ้างงานก็สูงขึ้นทันที”

คุณ ธนินท์เป็นคนชอบอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และชอบคนที่เก่งกว่าตัวเอง เขายกย่องคนมีความสามารถที่มีอยู่ทั่วโลกและถ้าทำได้ เขาก็พร้อมที่จะดึงมาทำงานด้วย คนเก่งๆทั้งในประเทศและอาจจะอยู่ที่ไหนในโลก เขาก็พร้อมจะเดินทางไปพบเพื่อฟังข้อคิดเห็น กระทั่งบิล เกตส์ เขาก็เคยไปพบมาแล้ว

ซี พีทำธุรกิจมาครบ 60 ปีแล้ว คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เองก็อายุ 74 ปี แต่ตัวเลขไม่เคยทำให้เขาแก่ คุณธนินท์คิดอะไรไปไกลกว่าคนทั่วไปทั้งคนหนุ่มสาวหรือคนวัยเดียวกัน 20-30 ปี น่าแปลกไหม ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า กลับยิ่งเปิดกว้าง ฟังผู้ฟังคนมากยิ่งกว่าเดิม  คำพูดเรียบง่าย ดูเหมือนพื้นๆที่เขาพูดเตือนทุกรัฐบาลล้วนทรงค่าในการรับฟังทุกครั้ง

คุณปู่นักคิดร่วมสมัยของผมไม่อยู่นานแล้วแต่ผมก็ได้มีโอกาสสนทนากับคุณธนินท์แทนในหน้าสื่อต่างๆอยู่เป็นประจำนี่แหละครับ.