ทายาทฮิตเลอร์…“คิม จอง อึน”

จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือลุกขึ้นมาพิมพ์ “ไมน์ แคมปฟ์” หรือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” (เป็นภาษาเกาหลี) เนื่องในวันเกิดของตัวเองเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้ตื่นตะลึงไปทั้งโลก พอๆ กับการทดลองจรวดนิวเคลียร์นั่นแหละ

เพราะหนังสือ “ไมน์ แคมปฟ์” นั้นเขียนโดย “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” อดีตผู้นำนาซีเยอรมัน ที่มีบทบาทหมายเลข 1 ในการก่อสงครามโลกครั้งที่ 2

หนังสือ เล่มนี้ฮิตเลอร์เขียนขึ้นระหว่างติดคุก 9 เดือนด้วยข้อหากบฏ แต่ก็ทำให้เป็นหนังสือที่โด่งดังไปทั้งเยอรมันและทั่วโลก จนต้องพิมพ์ใหม่เป็นสิบๆ ครั้ง ขนาดฮิตเลอร์มาเป็นผู้นำแล้วก็ยังได้ค่าลิขสิทธิ์กินไม่จบไม่สิ้น โดยไม่ต้องรับเงินเดือนในฐานะผู้นำเลยตลอดชีวิต

ว่า กันว่า ท่านผู้นำคิมปลื้มวิธีการคิดและการบริหารของฮิตเลอร์มาก เพราะฮิตเลอร์สามารถฟื้นฟูเยอรมันขึ้นมาได้ในช่วงเวลาอันสั้นหลังจากพ่ายแพ้ ในสงครามโลกครั้ง  ที่ 1

ผู้ นำคิมบอกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขาว่า ต้องศึกษาทักษะของฮิตเลอร์จากหนังสือนี้ให้ลึกซึ้ง โดยย้ำแถมท้ายว่า กีฬาก็เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนเช่นที่ฮิตเลอร์เคยทำในยุคนาซี โดยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ทำให้คนเยอรมันผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น

นี่ เป็นอีกครั้งที่ผู้นำเกาหลีเหนือทำให้โลกต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับความคิด ที่นอกคอกและแหวกโลก เพราะคนในโลกนี้พากันเกลียดกลัวการกระทำของนาซีเยอรมันมาจนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าจะว่ากันตรงๆ ความเกลียดกลัวนั้นก็มาจากผู้นำด้านต่างๆ ของชาวยิวนั่นแหละที่ปลูกฝังตอกย้ำลงในหัวของคนทั้งโลกผ่านการศึกษา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ภาพยนตร์และทุกช่องทางว่าชาวยิวถูกรังแกอย่างโหดร้ายทารุณจากฮิตเลอร์เพียง ใด

ประเทศ ไหนทำอะไรขึ้นมาแม้ไม่ได้เห็นด้วยกับพวกนาซีเยอรมัน ก็จะถูกชาวยิวประท้วงอย่างรุนแรงผ่าน  สถานทูตประเทศนั้นๆ แม้แต่ในเมืองไทยเองก็โดนสถานทูตอิสราเอลประท้วงที่รถตุ๊กๆ ไม่กี่คันในกรุงเทพติดรูป “สวัสดิกะ” ซึ่งเป็นโลโก้ของนาซี  หรือเด็กๆ นักเรียนในคอนแวนต์แห่งหนึ่งอายุ 13-14 แต่งแฟนซีด้วยชุดทหารแบบนาซีเพื่อล้อเลียนเสียดสี ก็โดนประณามเสียยับเยิน จนต้องออกมาขอโทษสถานทูตอิสราเอล

ใคร พูดหรือเขียนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยไม่ตั้งนโม 3 จบด่าทอนาซี หรือฮิตเลอร์ ก็จะกลายเป็นมนุษย์ประหลาด หรืออาจถึงขั้นเลวทรามต่ำช้าเอาทีเดียว
อคติ เกี่ยวกับชาวยิวหรือฮิตเลอร์ เหล่านี้เกิดขึ้นยาวนานมากนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมัน โดยไม่มีใครสนใจเหตุผลข้อเท็จจริงอื่นใด ทั้งที่มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ชาวยิวต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น แต่ไม่มีใครที่ใส่ใจกับชะตากรรมของคนเยอรมันก่อนที่จะเกิดคนอย่างฮิตเลอร์ ขึ้น

ชาว ยิวในประวัติศาสตร์นับพันปี ต่างถูกขับไล่จากประเทศต่างๆ ในยุคโบราณ เพราะความเป็นพ่อค้าที่เลือดเย็น หฤโหด เอารัดเอาเปรียบผู้คน เพื่อความร่ำรวยของตัวเอง เยอรมันเองต้องทำสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะการยุยงของนักธุรกิจชาวยิวที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยโหดแก่คู่ศึกทั้งสอง ฝ่าย เป็นเกมการเงินและเกมการเมืองที่เหนือเมฆมาตั้งสมัยโบราณจนทุกวันนี้

ในที่สุด เยอรมันก็แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ผู้คนว่างงานต้องอดอยากยากแค้นประมาณมากถึง 8 ล้านคน พร้อมกับสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่ไม่เป็นธรรมกับเยอรมันอย่างรุนแรง จนเป็นสาเหตุให้เยอรมันต้องเลือก สิบโท อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นมาบริหารประเทศ รวมเป็นเวลาถึง 12 ปีที่ฮิตเลอร์สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ คนเยอรมันพ้นจากความอดอยากยากจน และมีชีวิตที่มั่นคงขึ้น มีศักดิ์ศรีในสังคมโลกมากขึ้น

ฮิตเลอร์กลายเป็นขวัญใจของชาวเยอรมันอย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเผด็จการ แต่ประชาชนเชื่อและศรัทธาฮิตเลอร์มากมาย ทำให้ฮิตเลอร์มีบารมีสูงมาก ขนาดจะสั่งใครไปตายก็ยังได้ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ฮิตเลอร์สามารถนำเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกได้โดยไม่มีใคร คัดค้าน ทั้งที่ฮิตเลอร์ก็เป็นผู้บริหารประเทศที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตย

และฮิตเลอร์อีกนั่นแหละที่กลายเป็นขวัญใจของคนเกลียดยิวมาจนทุกวันนี้  แต่ภาพพจน์ที่เกิดขึ้นในโลก คือฮิตเลอร์ทำลายยิวที่เป็น “คนดี” ทั้งหลายตายไปมากมายถึง 6 ล้านคน ทั้งที่ชาวยิวทั้งทั่วโลกเมื่อ 70 ปีที่แล้วมีเพียง 2 ล้านคน แต่ตายจริงในเยอรมันและยุโรปประมาณ 6 แสนคนเท่านั้น (ที่เหลือ เพิ่มตัวเลขกันสุดๆ)

เมื่อเทียบกับการล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงกว่า 2 ล้านคน และฝรั่งเศสกับอเมริกันทำสงครามเวียดนาม ฆ่าทหารและชาวบ้านตายไปร่วม 3 ล้านคน ยิวที่นาซีสังหารไปในสมัยนั้นจึงกลายเป็นรุ่นน้องไปทันที

แต่ฮิตเลอร์ก็กลายเป็นผู้นำเผด็จการในที่สุดในยุคนั้น  มันเลยไปจากคำว่า เผด็จการรัฐสภาไปแล้วด้วยซ้ำสำหรับประเทศที่อยู่ท่ามกลางคมหอกคมดาบรอบๆ ตัว หลายประเทศในยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษที่นำโดย วินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งเตรียมพร้อมที่จะก่อสงครามนำหน้าเยอรมันเสียด้วยซ้ำไป

ประวัติศาสตร์ ที่ถูกปิดบังเอาไว้โดยไม่มีใครเข้าถึง ระบุเอาไว้ว่า ไม่ใช่ฮิตเลอร์ฝ่ายเดียวที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะก่อสงคราม แต่ยังมี วินสตัน เชอร์ชิล (ขวัญใจคนบ้านสี่เสา) ด้วยที่กระสันต์จะรบราฆ่าฟันคนตามนโยบายขององค์กรลับยิว

ใน ที่สุด พวกยิวในสมาคมลับต่างๆ ที่มีพลังอำนาจการเงินในยุโรปและอเมริกา ก็รวมหัวกันผลักดันให้ผู้นำหลายชาติรวมทั้งสหรัฐอเมริกา เข้ามาจัดการกับฮิตเลอร์และเยอรมันที่เศรษฐกิจกำลังดีวันดีคืน เพราะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติได้สำเร็จ จนสามารถปราบฮิตเลอร์ลงได้อย่างราบคาบยับเยิน

มา ถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่า ท่านผู้นำคิม จอง อึน ได้ศึกษาหรือเปล่ากับจุดจบของฮิตเลอร์ผู้สอดใส่ความใฝ่ฝันของเขาไว้ใน “ไมน์ แคมปฟ์” ซึ่งในที่สุดก็จะถูกชาติต่างๆ ช่วยกันรุมสังหาร และนำประเทศไปแบ่งสรรปันส่วนกันเหมือนขนมเค๊กอย่างที่เคยมีตัวอย่างมาแล้วใน ประวัติศาสตร์ (แต่เยอรมันก็ฟื้นขึ้นมาได้อีก กลายเป็นพี่ใหญ่ทางการเงินในยุคปัจจุบัน)

การ แจก “ไมน์ แคมปฟ์” แก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือเพื่อให้ช่วยกันฟื้นฟูประเทศจากความ ยากแค้นถึงขนาดที่ว่ากันว่า กินเนื้อกันเองในครอบครัว แล้วทำได้สำเร็จเหมือนที่ฮิตเลอร์แก้ปัญหาประเทศสำเร็จด้วยเวลาเพียงไม่กี่ ปี ก็ต้องยอมรับว่าน่านับถือ

เพราะไหนๆ ก็เป็นเผด็จการอยู่แล้วก็เผด็จการเพื่อประชาชนเกาหลีเหนือจริงๆ สักทีเถอะ

แต่ ก็การแจก “ไมน์ แคมปฟ์” นี่แหละที่จะทำให้คนทั้งโลกกลัว โดยเฉพาะองค์กรลับชาวยิวที่ยอมรับไม่ได้ จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อกำจัด “ทายาทฮิตเลอร์ชาวเอเชีย” อย่างคิมจองอึน อย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้งในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของยิว