รายงานใหม่สืบพบ พันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ฆ่าพลเรือน 1,600 คน ในเมืองรักกา ของซีเรีย

อาคารหลายพันแห่งถูกทำลายโดยการโจมตีทางอากาศของพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯในช่วงที่มีการทิ้งระเบิดเพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในรักกา (AFP)

MEE/Haaretz – รายงานใหม่ซึ่งทำร่วมกันระหว่างกลุ่มสังเกตการณ์สงคราม “แอร์วอส์” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน “แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล” เผย กองกำลังผสมที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือนอย่างน้อย 1,600 คน ในระหว่างการโจมตีเมืองรักกา ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย

กองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ให้ขับไล่ไอซิสออกจากเมืองรักกาของซีเรีย ในปี 2017 ได้สังหารพลเรือนมากกว่ามากกว่า 1,600 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าที่พันธมิตรสหรัฐฯ เคยยอมรับ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล และกลุ่มสังเกตการณ์แอร์วอส์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (25 เม.ย.)

กลุ่มแอร์วอส์ (Airwars) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอนจัดตั้งขึ้นในปี 2014 เพื่อตรวจสอบผลกระทบของการทำสงครามที่นำโดยสหรัฐฯต่อกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอซิส และกลุ่มอื่น ๆ ในประเทศอิรัก, ซีเรีย และลิเบีย รวมทั้งประเมินและติดตามข้ออ้างที่น่าเชื่อถือของการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนจากพันธมิตรและการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย

แอมเนสตี้ฯ และแอร์วอส์ใช้เวลา 18 เดือนในการวิจัยการเสียชีวิตของพลเรือน รวมถึงสองเดือนบนพื้นที่ภาคสนามในเมืองรักกา

ทั้งสองกลุ่มใช้ข้อมูลโอเพนซอร์ซซึ่งรวมถึงโพสต์สื่อสังคมออนไลน์หลายพันรายการและเนื้อหาอื่นๆ เพื่อสร้างฐานข้อมูลของพลเรือนกว่า 1,600 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์กระหน่ำทิ้งระเบิดระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2017

องค์กรกล่าวว่า พวกเขารวบรวมรายชื่อเหยื่อได้มากกว่า 1,000 ราย แอมเนสตี้กล่าวเสริมว่า ตนได้ดำเนินการเพื่อยืนยันโดยตรง 641 รายชื่อบนภาคสนามในเมืองรักกา

“การค้นพบข้อสรุปของเราหลังจากทั้งหมดนี้ก็คือ การโจมตีทางทหารของกองทัพพันธมิตรสหรัฐ (กองกำลังสหรัฐฯ, อังกฤษ และฝรั่งเศส) ก่อให้เกิดการเสียชีวิตพลเรือนมากกว่า 1,600 คนในรักกา” พวกเขากล่าว

พวกเขากล่าวว่า กรณีต่างๆ ที่พวกเขาบันทึกไว้อาจรวมถึงการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้สมาชิกพันธมิตรฯ สร้างกองทุนเพื่อชดเชยเหยื่อและครอบครัวของพวกเขา

พันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้กล่าวว่าจะใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน และตรวจสอบข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเขาได้ทำไปแล้ว

ไอซิสยึดรักกาในช่วงต้นปี 2014 ในช่วงที่พวกเขารุกคืบแบบฟ้าฟาดผ่านซีเรียและอิรัก ประกาศสร้างรัฐกาหลิบ โดยมีบุคลิกเป็นที่จดจำในการประหารชีวิตฝ่ายตรงข้าม การสังหารหมู่จำนวนมาก และการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อย ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยสหประชาชาติ

กลุ่มไอซิสซึ่งควบคุมหนึ่งในสามของทั้งซีเรียและอิรักในปี 2014 ได้ถูกขับออกจากดินแดนทั้งหมดที่ควบคุมโดยปฏิบัติการทางทหารจากศัตรูมากมายของพวกเขา รวมถึงรัฐบาลซีเรียและอิรัก สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรยุโรปของสหรัฐ คู่แข่งของสหรัฐอย่างรัสเซียและอิหร่าน

ไอซิสพ่ายแพ้ต่อนักรบที่สหรัฐหนุนหลังในป้อมปราการแห่งสุดท้ายในซีเรียในปีนี้ แม้จะไม่มีการควบคุมอาณาเขตอีกต่อไป แต่ก็ยังคงเป็นภัยคุกคามที่จะเริ่มการโจมตีไปทั่วโลก

พันธมิตรนานาชาติที่นำโดยวอชิงตันได้ให้การสนับสนุนทางทหารแก่ทั้งรัฐบาลอิรัก และกองกำลังนักรบซีเรีย ที่นำโดยชาวเคิร์ด ในชื่อ “กองกำลังประชาธิปไตยแห่งซีเรีย”  หรือ SDF (Syrian Democratic Forces) เข้ายึดรักกาได้ในเดือนตุลาคม 2017 หลังจากการโจมตีที่กินระยะเวลาห้าเดือนโดยรับการสนับสนุนจากการโจมตีทางอากาศที่นำโดยพันธมิตรสหรัฐและกองกำลังพิเศษ

แอมเนสตี้กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า มีหลักฐานว่าการโจมตีเมืองรักกาทางอากาศและปืนใหญ่ ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอันเนื่องจากทำลายชีวิตของพลเรือน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ประเมินยอดผู้เสียชีวิตระหว่างการสู้รบ