“เซเบรนิกา” เสี้ยวประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใจกลางยุโรปในโลกยุคใหม่

สุสานและอนุสรณ์สถานของเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ได้เกิดขึ้นที่เมืองเซเบรนิกา (ภาพจาก wikipedia)

หลายต่อหลายเหตุการณ์ความรุนแรงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นมักจะ ถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนตามกาลเวลา จะเหลือทิ้งไว้ก็แต่การบันทึกเป็นตัวอักษร ภาพถ่ายและสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์  เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละปี  ก็จะเหลือแต่เพียงผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์และได้รับผลกระทบจากเรื่องราวเหล่านั้นที่จะมาร่วมกันรำลึกถึงความโหดร้าย ความสูญเสีย ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น บางเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขั้นถูกบิดเบือนและถูกกลบฝังเรื่องราวจากการรับรู้ของเพื่อนมนุษย์ในพื้นที่อื่นๆ บนโลก

ดังเช่นเหตุการณ์ในวันที่ 11 – 22 กรกฎาคม เมื่อ 20 ปีที่แล้ว  ในเมืองเซเบรนิกา (Srebrenica) ประเทศบอสเนีย  ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดจากเหตุความขัดแย้งทางเชื้อชาติและความเชื่อ ที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนในชาติเดียวกัน  ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะเกิดขึ้นใจกลางทวีปยุโรป ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในโลกยุคสมัยใหม่หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ด้วยความไร้ประสิทธิภาพขององค์กรระดับโลก และการเมินเฉยต่อเหตุการณ์ของประเทศชั้นนำที่เรายกย่องว่ามีความศิวิไลช์ มีความเป็นอารยะ ทำให้ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ 10 วัน  ที่เมืองเซเบรนิกา  มีชาวมุสลิมบอสเนียถูกสังหารไปกว่า 8,000 คน ผู้หญิง เด็กและคนชราต้องถูกทารุณกรรมอย่างไร้มนุษยธรรม !!!!!

แต่เดิมพื้นที่ของประเทศบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) และดินแดนบริเวณคาบสมุทรบอลข่าน อยู่ภายใต้อิทธิพลของ จักรวรรดิออตโตมัน  ต่อมาเมื่อจักรวรรดิออตโตมันเสื่อมสลายลง  จึงตกไปอยู่ภายใต้อาณัติของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี  ด้วย ความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา ทำให้เกิดความขัดแย้งอยู่เสมอและปะทุขึ้นอย่างเด่นชัดในปี ค.ศ.1914  เมื่อมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย อาร์ชดุก ฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Franz Ferdinand) เสด็จมาเยือนซาราเยโว (เมืองหลวงของบอสเนีย) และถูกกลุ่มหัวรุนแรงชาวเซิร์บลอบปลงพระชนม์ และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่จุดชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นในเวลาต่อมา

ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1918 ทั้งฝ่ายเซอร์เบีย โครเอเชีย และสโลวีเนียได้รวมตัวกันภายใต้ชื่อ “ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย” ปกครองโดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบีย  ปีค.ศ. 1934 กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ถูกปลงพระชนม์ มกุฎราชกุมารปีเตอร์เป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ แต่อยู่ภายใต้การดูแลของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ใน ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายทหารล้มล้างคณะผู้สำเร็จราชการและแต่งตั้งให้มกุฎราชกุมารปีเตอร์เป็น กษัตริย์ หลังจากนั้นเมื่อกองทัพเยอรมันโจมตีกรุงเบลเกรด กษัตริย์ปีเตอร์ได้ลี้ภัยออกนอกประเทศ

ปีค.ศ. 1944 จอมพลโจเซฟ ติโต้ (Joseph  Tito)  ได้เข้ายึดยูโกสลาเวียแล้วแต่งตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนชื่อ ประเทศเป็น “สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย” จอมพลติโต้นี้เองที่สามารถทำให้ยูโกสลาเวียรวมตัวกันได้อย่างเหนียวแน่น  ซึ่งประกอบไปด้วย 6 สาธารณรัฐ ได้แก่ โครเอเชีย  สโลวีเนีย  เซอร์เบียมอนเตเนโกร  มาซิโดเนีย  บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา  และอีก 2 มณฑลอิสระคือ โคโซโวและวอยวอดินา

หลังจากที่นายพลโจเซฟ ติโต้ ผู้ที่หลอมรวมความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ไว้ภายใต้ความเป็นชนชาติยูโกสลาเวียได้ถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ.1980 รอยร้าวระหว่างวัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ก็เริ่มแสดงออกมา  เมื่อในปี ค.ศ. 1989 สโลโบดาน มิโลเซวิช (Slobodan Milosevic) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี  มิ โลเซวิชผู้นำเซอร์เบีย ที่เป็นผู้นำคนใหม่ของยูโกสลาเวีย เลือกใช้นโยบายคับแคบในการสนับสนุนเชิดชูชาวเซิร์บ และด้วยระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละเขตแคว้น, ความแตกต่างหวาดระแวงกันทางเชื้อชาติ  ซึ่งรวมถึงความต้องการเชิดชูเชื้อชาติตนและเหยียดเชื้อชาติอื่น, และความล้มเหลวของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในระดับสากล

ที่สำคัญที่สุด ผลจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991  ทำให้ยูโกสลาเวียเริ่มมีการแบ่งแยกออกเป็นประเทศต่างๆ เริ่มจาก สาธารณรัฐ  2 แห่ง ของยูโกสลาเวีย คือสโลเวเนียและโครเอเชีย ที่มีการประกาศอิสระภาพก่อน ต่อมาสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ได้ประกาศเอกราชแยกตัวจากรัฐบาลกลางของยูโกสลาเวีย  แต่เซอร์เบียที่เป็นสาธารณรัฐใหญ่สุดต้องการให้ยูโกสลาเวียรวมเป็นประเทศ เดียว  เค้าลางของสงครามจึงเริ่มปะทุขึ้นจากจุดนี้

ซึ่งในขณะนั้นบอสเนีย – เฮอร์เซโกวินา  มีประชากร 4.3 ล้านคน  มีชนกลุ่มน้อยชาวเซิร์บ (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) อาศัยอยู่ ร้อยละ 31 เป็นชาวโครแอตร้อยละ 17  ชาวมุสลิมมีร้อยละ 44  กระจายอยู่ทั่วบอสเนีย – เฮอร์เซโกวินา เชื้อชาติอื่นๆร้อยละ 8   สงครามระหว่าง 3 ชนชาติ คือ ชาวเซิร์บหรือชาวเซอร์เบียซึ่งนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์  , ชาวบอสเนียที่เป็นชาวมุสลิม (คนแถบบอลข่านบางส่วนเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามใน สมัยที่ตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโดมัน)  และชาวโครแอตหรือชาวโครเอเชียที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคทอลิก จึงเกิดขึ้นและมีการต่อสู้ระหว่างกันจนถึงปลายปี   ค.ศ.1995

โดยชาวโครแอตต้องการให้ดินแดนส่วนที่ตนอาศัยอยู่เข้าไปรวมกับรัฐโครเอเชีย , ชาวเซิร์บในบอสเนียต้องการรวมเข้ากับรัฐเซอร์เบีย  โดยชาวเซิร์บประกาศตัวเป็นรัฐอิสระซ้อนกับดินแดนบอสเนีย  จึงเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลบอสเนีย (ที่เป็นชาวมุสลิม)กับชาว เซิร์บในบอสเนียที่ได้รับการสนับสนุนจากเซอร์เบีย ชาวเซิร์บในบอสเนียมี ผู้นำ คือ ราโดวาน คาราดิค (Radovan Karadzic) ที่ ได้ประกาศตนเป็นประธานาธิบดีของชาวเซิร์บกลุ่มน้อย และมีนายพลรัตโก  มลาดิช (Ratko Mladic) อดีตแม่ทัพของกองทัพเซอร์เบียเป็นผู้บัญชาการทหาร

เมื่อมุสลิมบอสเนียต้องการแยกตัวเป็นเอกราช แต่ชาวเซิร์บในบอสเนียเฮอร์เซโกวีนาไม่เห็นด้วยและทำการต่อต้านภายใต้การนำ ของนายราโดวาน คาราดิค (Radovan Karadzic) ชาวเซิร์บภายใต้การนำของนายคาราดิคได้ทำการแยกดินแดนส่วนหนึ่งใน บอสเนีย – เฮอร์เซโกวินาออกเป็นอิสระในนาม “รัฐของชาวเซิร์บในบอสเนีย”  มี เมืองหลวงอยู่ที่เมืองปาเล  และได้ทำการต่อสู้ขัดขวางการแยกตัวเป็นอิสระของชาวมุสลิมบอสเนียอย่างโหด ร้าย ทารุณ  ใช้ทหารขับไล่ชาวมุสลิมและโครแอตออกจากถิ่นฐาน เกิดการเข่นฆ่า  ข่มขืน และแยกครอบครัวของชนชาติทั้งสอง โดย มีประธานาธิบดี มิโลเชวิช แห่งเซอร์เบียให้การสนับสนุนด้านการเงินและอาวุธ  เนื่องจากชาวเซิร์บต้องการฟื้นฟูอาณาจักรเซอร์เบียขึ้นมา  โดยการรวมดินแดนบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาที่มีชาวเซิร์บอาศัยอยู่ให้เข้าไป อยู่ใต้การปกครอง  สงครามระหว่างเผ่าพันธ์ บอสเนีย-เซิร์บ  จึงเกิดขึ้น

โดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้นที่เมือง เซเบรนิกา  ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวบอสเนียที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 11 – 22 กรกฎาคม 1995 ถือเป็นเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้ง ที่สองยุติลง โดยใช้หน่วยกึ่งทหารจากเซอร์เบีย  และทหารหน่วยหนึ่งของกองทัพเซิร์บบอสเนียซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ สกอร์เปียนส์  รวมไปถึงอาสาสมัครต่างด้าว ในการปฏิบัติการสังหารพลเรือนชาวมุสลิมบอสเนีย  ภายใต้บังคับบัญชาของนายพล รัตโก มลาดิช

แม้ว่าก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 1993  สหประชาชาติจะได้ประกาศว่าเมืองเซเบรนิกานั้นเป็น “เขตปลอดภัย” (Safe Area) อยู่ภาย ใต้การคุ้มครองของสหประชาชาติ  ในเดือนกรกฎาคม 1995 กองกำลังคุ้มครองสหประชาชาติ (UNPROFOR) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยรักษาสันติภาพชาวเนเธอร์แลนด์  แต่กระนั้นก็ไม่สามารถคุ้มครองให้เมืองเซเบรนิการอดพ้นถูกยึดครองโดยกองทัพ เซิร์บบอสเนียได้  มีประชาชนบางส่วนอพยพครอบครัวหนีเข้าไปอยู่ในค่ายของสหประชาชาติ  แต่ต่อมาเมื่อมีเสียงข่มขู่จากนายพลมลาดิชให้กองกำลังสหประชาชาติทำการ ส่งตัวชาวมุสลิมบอสเนีย รวมไปถึงส่งมอบอาวุธให้กับพวกเขาเพื่อแลกกับสวัสดิภาพของกองกำลัง สหประชาชาติ   แทนที่กองกำลังสหประชาติจะทำการคุ้มครองประชาชนแต่กลับทำตามคำสั่งของนาย พลมลาดิช  โดยปล่อยให้กองทัพเซิร์บอสเนียทำการ แยกผู้หญิงและเด็กออกไป   ส่วนผู้ชายและเด็กผู้ชายถูกนำตัวไปกักขังไว้ในสถานที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนและโรงงานร้าง  และทำการสังหารอย่างโหดเหี้ยม

ที่เลวร้ายกว่านั้นในเวลาต่อมาได้มีคำสั่งให้ขุดศพผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาแล้ว ทำการแยกชิ้นส่วนของศพและนำไปทิ้งกระจัดกระจายไว้ในสถานที่ต่างๆ เพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้ตามเอาผิดจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง  ทำให้การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลทำได้ยากยิ่งขึ้น  แต่ภายหลังจากที่ เหตุการณ์สงบลง จนถึงเดือนพฤษภาคมปี 2000  เหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จำนวน 6,557 คนถูกพิสูจน์เอกลักษณ์โดยใช้การวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากชิ้นส่วนร่างกายที่เก็บ มาจากสุสานหมู่  และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการพิพากษาคดีบนศาลอาญาระหว่างประเทศแล้วก็ตามแต่ ก็เป็นเพียงการลงโทษผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแค่บางส่วนเท่านั้น ยังมิใช่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสงครามยูโกสลาเวียเป็นเรื่องของเชื้อชาติ ศาสนา ประวัติศาสตร์ สโลวีเนียและโครเอเชียตั้งอยู่ทางตะวันตกและทางเหนือ เคยอยู่ในอาณัติของอาณาจักรโรมันก่อนจะสืบทอดมาถึงจักรวรรดิ ออสเตรีย-ฮังการี วัฒนธรรมส่วนใหญ่จึงค่อนไปทางยุโรป เป็นศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ส่วนรัฐอื่นๆตั้งอยู่ทางใต้ เช่น บอสเนียและเซอร์เบีย เคยอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรไบแซนไทน์และจักรวรรดิออตโตมานพื้นฐานของ วัฒนธรรมจึงเป็นแบบมุสลิม บ้างก็ไปข้างศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์

หากวิเคราะห์จากมุมมองทางการเมือง เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุที่เกิดขึ้นนั้น เกิดอยู่บนแผ่นดินของทวีปยุโรปในยุคสมัยใหม่ที่ผ่านการวิวัฒนาการทางด้านแนว ความคิด วัฒนธรรม  สังคม  มาตั้งแต่ ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance)  ยุคเรืองปัญญา(Enlightenment)  ที่ส่งต่อมาจนถึงยุคนวนิยม (Modernism) และ กำลังดำเนินอยู่ในยุคแนวคิดหลังยุคนวนิยม (Post Modern)ในปัจจุบัน  ที่กล่าวกันว่าเป็นยุคแห่งโลกใหม่ที่มีความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะวิทยาการ  วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี  มีการพัฒนาองค์ความรู้ในศาสตร์ด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์  สังคมศาสตร์  รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์  เศรษฐศาสตร์  และได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคที่มนุษย์มีความเป็นอารยชนแตกต่างจากยุคสมัย โบราณที่ถูกครอบงำจากอำนาจทางศาสนาที่ฝ่ายนักคิดแนวปฏิฐานนิยม (Positivism) ในยุค Modernism จนถึง Post Modern มองว่าเป็นสิ่งที่ล้าหลังและมิอาจแก้ไขปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ดังที่กล่าวมาแล้ว นั้นหาได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องบนโลกได้  เนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตั้งแต่การเกิด สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914-1918) ,สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945) , สงครามในยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1991-1995) , การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา (ค.ศ.1994) , การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา (ค.ศ.1975-1979) , โศกนาฏกรรมความรุนแรงในปาเลสไตน์ , การเหยียดชนชาติและสีผิวในแอฟริกา , ปัญหาระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำที่มีความขัดแย้งกันมาจนถึงปัจจุบันใน สหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโศกนาฏกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุที่เมืองเซเบรนิกาที่ เกิดขึ้นใจกลางยุโรปต่อหน้าต่อตาชาวตะวันตก  ที่ร้ายไปกว่านั้นการวางเฉยของประชาคมโลกต่อเหตุการณ์ความรุนแรง  ความล้มเหลวและความไร้ประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศในการ ป้องกันและยุติความขัดแย้งก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โศกนาฏกรรมความสูญเสีย เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดการตั้งคำถามว่าในยุคสมัยปัจจุบันที่ กล่าวกันว่ามนุษย์มีความเป็นอารยชนมากขึ้นเนื่องจากผ่านการพัฒนาด้านความคิด มาหลายยุคหลายสมัย เหตุใดจึงยังมีความป่าเถื่อนรุนแรง  มุ่งทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  เหตุใดความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสมัยใหม่จึงไม่สามารถทำให้ มนุษย์ยอมรับซึ่งกันและกันและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข(ในบางเหตุการณ์ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยังถูกใช้ในการทำลายล้างชีวิตมนุษย์อีกด้วย) จะกล่าวได้หรือไม่ว่าการยกย่องและให้คุณค่ากับความเจริญทางด้านวัตถุที่มาก เกินพอดีทำให้มนุษย์หยิ่งผยองเสียจนเรื่องของศีลธรรมในจิตใจมนุษย์ถูกมอง ข้ามและตกต่ำลงเรื่อยๆ จนเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฎกรรมความรุนแรงขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ในเดือนกรกฎาคม  เสี้ยวหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองเซเบรนิกา ประเทศบอสเนีย จะถูกตั้งคำถามขึ้นอีกครั้งถึงประสิทธิภาพการทำงานและการแก้ไขปัญหาของ องค์กรระดับโลก รวมไปถึงผู้ที่กล่าวยกย่องชาติพันธ์ุและความเชื่อของตนว่ามีความเป็นอารยะ มีความศิวิไลช์  มีความเจริญแล้วว่า โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่กลุ่มคนที่กล่าวว่าพวกตนเป็นอารยชนควรกระทำต่อเพื่อน มนุษย์ด้วยกัน ????