ถ้าก้าวแรกสู่ความสำเร็จในอาชีพของใครหลายคน คือการรักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก คงใช้นิยามนี้ไม่ได้กับ คุณมานิต และมิตร (ฮัจยีสุไลมาน) หรือ เชฟมานิต ผู้ซึ่งไม่ได้ชอบการทำอาหารมาตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่เมื่อโอกาสมาถึงเขาสามารถก้าวข้ามความไม่ชอบไปสู่ความพยายามจนประสพ ความสำเร็จ อยู่ในวงการอาหารมายาวนาน กว่า 40 ปี จนกระทั่ง ทุกวันนี้เชฟมานิตเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในวงการเชฟอาหารฮาลาล
คุณมานิต และมิตร หรือ ฮัจยี สุไลมาน ที่ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งเชฟฮาลาล (Halal Chef) ประจำ (The Harbour Restaurant) โรงแรมเอ-วัน เดอะ รอยัล ครูส พัทยา ได้เล่าจุดเริ่มต้นการเข้ามาในวงการอาหารฮาลาลว่า ตนเองตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อไปเป็นครู ไม่ได้ชอบทำอาหารเลย อาจจะเพราะอยู่กับแม่ที่ทำอาชีพขายอาหาร ทำให้เบื่อการทำอาหารมาก แต่วันหนึ่งมีเหตุให้ต้องเข้ามาอยู่ในวงจรการทำอาหารจนได้ เนื่องจากน้าชายที่เปิดร้านอาหารประสบอุบัติเหตุ (น้ำร้อนลวก) จึงขอให้เชฟมานิตมาช่วยทำอาหารที่ร้าน(ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอม) แต่ผ่านไป 1-2 เดือน น้าชายก็ยังไม่หายดี ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มเรียนทิ้งห่างไปไกล จึงทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนหนังสือหรือเดินหน้าเอาดีทางอาชีพทำ อาหาร
“ตอน นั้นผมเรียนใกล้จะจบแล้ว ต้องลามาช่วยงานที่ร้านอาหารของน้าชาย ผ่านไปเดือนหนึ่งก็แล้ว สองเดือนก็แล้วน้าก็ยังไม่หาย เพื่อนก็เรียนไปถึงไหนถึงไหน ทำให้ผมต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง เลยคิดว่าเอาน่ะเมื่อเราอยู่ตรงนี้ ก็มาเอาดีทางด้านอาหารนี่แหละ”
นั่น เป็นจุดเริ่มต้นการเข้าสู่เส้นทางการทำอาหารตั้งแต่อายุ 16 ปี ช่วงอายุ 18-19 ปี เชฟมานิต เริ่มอาชีพโดยการเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร จนร้านอาหารที่ทำอยู่ประสบปัญหาขาดคนช่วยทำ เจ้าของร้านได้ชวนเชฟมานิตร่วมหุ้น โดยแบ่งครึ่งกัน ต่อมาเมื่อเจ้าของขอถอนตัวไปก็ได้โอนถ่ายมาเป็นของเชฟมานิตอย่างเต็มตัว
จาก ประสบการณ์และพรสวรรค์ในการทำอาหารทำให้เชฟมานิต เป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จได้ในวัยเพียง 21 ปี เป็นที่รู้จักกันดีในย่านบางลำภู สมัยนั้นคือ ร้านมานิตโภชนา บางลำภู ก่อนจะขยายกิจการเพิ่มอีก 3 สาขา มีแถวท่าพระจันทร์,พาต้าปิ่นเกล้า และบางลำภูถัดไปอีก 7 คูหา
อีก มุมหนึ่ง เมื่อกิจการร้านอาหารอยู่ตัว เชฟมานิต ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อมองลู่ทางขยายการทำร้านอาหารไปต่างประเทศ พร้อมกันนี้ไปค้าขายอยู่ที่ประเทศเยอรมัน และได้เดินทางไปหลายๆประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย
“ตอน นั้นก็ยังมีร้านอาหารอยู่ที่กรุงเทพฯ 4 ร้าน โดยให้ภรรยาและน้องๆคอยดูแลกิจการ ผมอยากไปดูว่า ถ้าจะไปค้าขายต่างประเทศจะต้องทำอย่างไร แต่ช่วงนั้นร้านอาหารไทยในต่างประเทศไม่เป็นที่นิยม หลายๆร้านที่เปิดก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก ผมมีพรรคพวกเพื่อนๆ อยู่ เลยลงทุนค้าขายจิวเวลรี่อยู่ที่ประเทศเยอรมัน และเดินทางไปหลายๆ ประเทศ”
จน กระทั่งปี พ.ศ. 2530 ร้านที่ทำอยู่ที่บางลำภู หมดสัญญาเช่า ตามด้วยท่าพระจันทร์และพาต้าปิ่นเกล้า ในปีเดียวกัน หลังจากนั้น มานิตโภชนาได้เข้าไปขายอาหารให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยมหิดล และเปิดร้านข้าวหมกไก่, ก๋วยเตี๋ยวแขก, ซุป, สลัด และมะตะบะที่ศรีย่าน ในช่วงที่เปิดร้านอาหารได้รับประกาศนียบัตรรับรองความอร่อย, โล่รางวัลร้านอาหารดีเด่น ซึ่งเป็นการการันตีถึงการทำงานอย่างมุ่งมั่นและมีคุณภาพในวงการอาหารได้เป็น อย่างดี
ปัจจุบัน ร้านมานิตโภชนาได้เลิกกิจการไปแล้ว ด้วยลูกๆ โตสำเร็จการศึกษาไปประกอบอาชีพอื่นๆ และภรรยาเสียชีวิต ส่วนเชฟมานิตนั้นด้วยความผูกพันอยู่ในวงการอาหารมานาน ได้ทำงานในห้องอาหารฮาลาลในโรงแรมหลายแห่ง (ในกรุงเทพฯ) จนเหมือนประหนึ่งว่าเชฟมานิตเป็นสัญลักษณ์ของห้องอาหารฮาลาลที่สามารถสร้าง ความเชื่อมั่นให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้อย่างเต็มร้อย
“ผม เป็นเชฟให้โรงแรมที่มี ห้องอาหารฮาลาลหลายๆ แห่ง จนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในวงการอาหารฮาลาล เห็นผมก็มั่นใจได้ ผมเหมือนเป็นตัวแทนของความเป็นอาหารฮาลาล ไปแล้ว บางทีลูกค้าเข้ามาอาจมีความไม่แน่ใจ พอเห็นผมให้สลามเขาก็ วางใจในความเป็นฮาลาลด้วยตัวของเราเอง”
“ณ จุดนี้มันเป็นความสุขไปแล้ว ตั้งแต่อายุ 16 ถึงปัจจุบันผม 67 แล้ว ผมทำอาหาร ขายอาหารมาตลอด ทำจนรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นลูกค้าทานอาหารที่อร่อย สะอาด ถูกหลักจากการปรุงของเรา ตอนนี้สุขภาพผมยัง แข็งแรง ผมคิดว่าจะทำตรงนี้ต่อไป พัฒนาอาหารฮาลาลให้เป็นที่รู้จักในมุมกว้าง อาหารอาฮาลไม่ได้เฉพาะเจาะจง เพื่อมุสลิมเท่านั้น บุคคล ต่างศาสนิก ลูกค้าทั่วไปก็แวะมาใช้บริการได้” เชฟมานิตกล่าว
ตอน ท้าย เชฟมานิตได้ฝากถึงคนทำงานในด้านอาหารว่า “ควรพยายามทำอาหารให้ตรงแนว อย่าไปแปลงอาหารดั้งเดิมมากเกินไป จริงอยู่อาหารในปัจจุบันอาจมีการแข่งขัน ต้องทำให้แตกต่างสร้างจุดเด่นหรือ จุดขาย ซึ่งสามารถทำได้ แต่หลักๆอย่าไปเปลี่ยนจากดั้งเดิมมาก จนทำให้เสียเอกลักษณ์ของอาหารนั้นๆ ต้องทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละอย่างเอาไว้ เช่นอาหารไทย ก็คงความเป็นอาหารไทยให้ชัดเจน”
“เชฟ ไม่ได้เก่งทุกคน เชฟอาจจะไม่ได้เก่งกว่าคนธรรมดา เพียงแต่ประสบการณ์เท่านั้นที่จะสอนเราว่าจะทำแบบไหนเพื่อให้ออกมาดีที่สุด การทำอาหารบางคนอาจมีพรสวรรค์ มีเทคนิค แต่เมื่อทำอาหารทุกคนต้องเอาใจลงไป รักมัน ใส่ใจลงไปจริงๆ และขอแนะนำสำหรับคนทำอาหาร อย่าไปซีเรียสกับสิ่งที่เกิดรอบตัว…
คุณ ทำอาหารหนึ่งจาน รสเดียว กัน มีคนสิบคน ร้อยคนมากินอาหาร ผมกล้าท้าว่า สิบคนหรือร้อยคนไม่อาจถูกใจทั้งหมดทุกคน แต่มีเปอร์เซ็นต์ ถ้าในสิบคนถูกใจแปดคน อีกสองคนติ อย่าไปยึดติดกับเสียงสองคน อย่าไปเสียกำลังใจและกังวล แล้วไปเปลี่ยนอะไรเพื่อคนสองคน มันไม่ยุติธรรม กับแปดคน นี่คือหลักการของคนทำอาหารทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเชฟ เราคิดบวกเพื่อให้เรามีกำลังใจในการทำอาหารทำในสิ่งที่เรารักอย่างมีความ สุข” เชฟมานิตกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด
ปัจจุบัน เชฟมานิต ยังคงทำงานด้วยใจรักและมีความสุข ใครที่อยากไปลิ้มลองการปรุงอาหารฝีมือของเชฟมานิตสามารถแวะไปได้ที่ห้อง อาหารเดอะฮาเบอร์ โรงแรมเอ-วันเดอะ รอยัล ครูส พัทยา โรงแรมมาตรฐานระดับ 4 ดาว ที่ตั้งอยู่บนชายหาดพัทยาเหนือซอย 2 ถนนพัทยาเหนือ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ชลบุรี
สิ่ง ที่คุณจะมั่นใจได้นอกจากรสชาติ และความฮาลาล ด้วยประสบการณ์การทำอาหารที่ยาวนานแล้ว คุณจะได้ชิมอาหาร ที่คนปรุงเต็มไปด้วยความสุขกับสิ่งที่ทำ