บนยอดเขาซินจาร์ : “เหยื่อที่ถูกลืม” จากปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของไอซิส

(ภาพ) สมาชิกชนกลุ่มน้อยยาซิดี Stringer Iraq/Reuters

โฉมหน้าที่ถูกลืมของสงครามที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความน่าหวาดกลัวมากเพียงใด ชาวยาซิดีของอิรักรอคอยความช่วยเหลืออยู่บนภูเขา ป้อมปราการสุดท้ายสำหรับประชาชนและวัฒนธรรมกลุ่มหนึ่งที่ยังคงรอดชีวิตจากการทดสอบของกาลเวลามาจนถึงตอนนี้

ประมาณหนึ่งปีที่แล้ว เมื่อไอซิสรุกคืบเข้ามาในอิรักและซีเรียได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ประชาคมระหว่างประเทศต่อความรุนแรงที่รวดเร็วและป่าเถื่อนของพวกมัน ประชาชนกลุ่มหนึ่งถูกบีบให้ต้องหลบหนีไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ เป็นการอพยพที่สิ้นหวังของกลุ่มศาสนาเก่าแก่ที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง ชาวยาซิดีของอิรัก ไปยังภูเขาซินจาร์

กลุ่มชนที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวองค์หนึ่งที่ความศรัทธาแบบผสมผสานของพวกเขามีต้นกำเนิดอยู่ในศาสนาโซโรแอสเตอร์และศาสนาโบราณอื่นๆ ของเมโสโปเตเมีย ชาวยาซิดีได้กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของกลุ่มไอซิส เพราะผู้นำของกลุ่มนำเอาศาสนาของพวกเขาไปเชื่อมโยงเข้ากับการละทิ้งศาสนา

นักเทศนาธรรมที่สร้างความเกลียดชังได้เชื่อมโยงความเชื่อของยาซิดีเข้ากับลัทธิบูชาซาตาน โดยอ้างว่า เทพเจ้าองค์สำคัญของชาวยาซิดี ทาวซี เมเลก หรือ “เทพนกยูง” ไม่ใช่อื่นใดนอกจากซาตาน เป็นการลบหลู่ที่มีพื้นฐานมาจากอคติและความโง่เขลาอย่างล้นเหลือ ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะไม่เห็นด้วยกับยาซิดี ไม่มีกลุ่มชนใดที่ควรจะประสบกับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเนื่องจากใช้สิทธิ์พื้นฐานในการเชื่อในพระเจ้า

ขณะที่หลายหมื่นคนต้องวิ่งหนีคมมีดของกองทหารไอซิส โลกได้เฝ้าดูด้วยความตกตะลึงขณะที่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทำให้ร่วงโรยและหลั่งเลือดภายใต้ความโกรธแค้นพยาบาทของลัทธิฟาสซิสต์

ขณะที่ไอซิสเข้าปล้นสะดมภ์โบราณสถานทางศาสนาอันมีค่าขงอิรัก ขณะที่ปืนของมันไม่ได้หันมาเพื่อฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของอิรัก และกลับทำลายทุกความหวังในอนาคตของประชาชนในชาติ กองทัพของมันก็ทำงานเพื่อลบล้างศาสนาหนึ่ง และกลุ่มชนหนึ่งออกไปจากหน้าแผ่นดิน เป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ

แต่ไอซิสไม่มีศาสนา!  และเพราะไอซิสไม่มีศาสนาและคนเก่งของมันได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้จึงได้ประกาศสงครามกับศาสนา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด และไม่ว่าจะเป็นนิกายใด และขณะที่ชาวยาซิดีเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัสมากที่สุด เพราะพวกเขากล้าที่จะยืดมั่นอยู่กับศาสนาที่เป็นมรดกมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา สภาพของพวกเขาจึงสะท้อนให้เห็นถึงชะตากรรมของชนกลุ่มน้อยอีกนับไม่ถ้วนในตะวันออกกลาง

ภายใต้ธงของไอซิส ไม่มีผู้ชายหรือผู้หญิงของศาสนาใดสามารถขอที่หลบภัยได้ เพราะจะไม่พบกับความเมตตาใดๆ จากนักสั่งสอนความตายของไอซิสที่สำรอกใส่ฝูงนักรบที่ถูกล้างสมองของพวกเขา ขณะที่ประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าของสหรัฐฯ พูดไว้อย่างถูกต้องว่า “ไอซิสไม่รู้จักศาสนาใด!”

แต่ถ้าในความเป็นจริง จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการถกเถียงกันถึงเรื่องเหตุผลของความรุนแรงของไอซิส แต่เราก็สามารถประณามอาชญากรรมของมันไปตามสิ่งที่พวกมันเป็นจริงๆ ได้ และความเป็นจริงอันน่าหวาดกลัวที่พวกมันได้กระทำไว้ ปฏิบัติการอันเต็มไปด้วยความแค้นของไอซิสที่มีต่อชาวยาซิดี, ชาวอะลาวี, ชาวคริสเตียน, ชาวยิว, ชาวซูฟี, ชาวชีอะฮ์ และซุนนี เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางศาสนาครั้งใหญ่ เป็นเสียงสะท้อนของความชั่วร้ายที่เคยแพร่สะพัดไปทั่วยุโรปเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้หลายล้านคนกลายเป็นโรคจิต

กลุ่มชนที่โดดเดี่ยวอยู่บนภูเขาซินจาร์ต้องถูกปิดล้อมด้วยน้ำมือของกลุ่มก่อการร้าย พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ตามลำพัง ใบหน้าของพวกเขาเหมือนกับร่างไร้วิญญาณของผู้คนอีกมากมายทั่วภูมิภาคหน้า ไม่ว่าที่ใดที่น้ำมือของพวกสุดโต่งที่ถูกกระตุ้นจากวะฮาบีได้ยื่นไปถึง

แต่ถ้าชาวยาซิดีของอิรักยังคงเป็นนักโทษของสงครามที่ไอซิสประกาศต่อมวลมนุษยชาตินี้ ความนิ่งเงียบของโลกก็คงจะเป็นดาบที่เฉือนลึกที่สุด เพราะมันบ่งบกถึงการขาดความกล้าหาญต่อหน้ากลุ่มก่อการร้ายที่แท้จริง ผู้นำประเทศต่างๆ ละเว้นที่จะเอ่ยชื่อมัน

แล้วใครจะเป็นคนเรียกลอร์ดโวลเดอมอร์ ในเรื่องของเรา? ใครจะขนานนามมารร้ายที่ได้บังเกิดขึ้นกับตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ และน้อยคนเหลือเกินที่กล้าจะเรียกมันให้เหมาะสม?

“สำหรับชาวยาซิดี มันสำคัญมากที่จะได้การยอมรับเราถูกกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” พารี อิบรอฮีม สตรียาซิดีคนหนึ่งบอกกับ Middle East Eye ในการให้สัมภาษณ์เมื่อปลายเดือนตุลาคม

ที่จริงแล้ว สภาความมั่นคงแห่งสหประชาติควรจะเห็นด้วยที่จะกำหนดให้ปฏิบัติการก่อการร้ายของไอซิสเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างที่มันเป็นจริงๆ ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ICC) ก็จะได้สามารถเปิดคดีกับกลุ่มนี้ได้ เพื่อจะได้มีน้ำหนักทางกฎหมายที่จำเป็นและต่อสู้กับสงครามที่โลกกำลังทำอยู่กับลัทธิเคร่งจารีตวะฮาบี

CEHMpjLUMAAuVMIที่สำคัญกว่านั้น การระบุว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะเป็นสิ่งรับประกันว่า บรรดาผู้นำ ผู้ก่อตั้ง ผู้เกี่ยวข้อง และบรรดานักรบของไอซิส จะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมของพวกตน แล้วจะมัวชักช้าอยู่ทำไม? ทำไมมหาอำนาจตะวันตกจึงหลีกเลี่ยงคำถามนี้ แต่เลือกที่จะให้มีมาตรการลงโทษกับประเทศที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความมุ่งมั่นที่สุดในการกำจัดกลุ่มก่การร้าย นั่นก็คือรัสเซีย, อิหร่าน, ซีเรีย…?

คำตอบอาจจะอยู่ในภูมิศาสตร์การเมือง ไม่ว่ากองทหารของไอซิสจะน่ากลัวเหมือนปีศาจมากแค่ไหน แต่พวกมันก็นำเสนอโอกาสที่ปฏิเสธไม่ได้แก่บรรดานักการเมืองกระหายสงครามที่เข้าใจว่าสงครามและการยึดครองทางทหารเป็นความเป็นไปได้ทางเดียวที่พวกเขาจะแสดงออกถึงอำนาจทางการเมืองของชาติตน ที่น่ารำคาญใจยิ่งกว่านั้น และเป็นความจริงอันน่าเศร้าที่ปฏิเสธไม่ได้ ไอซิสถูกใช้เป็นวาระซ่อนเร้นของมหาอำนาจตะวันตกที่ไม่น่าปรารถนาในการกล่าวถึง อย่าว่าแต่ท้าทายเลย

ไม่ว่าด้วยการคบหาสมาคมหรือด้วยการออกแบบ แต่ชาติตะวันตกกำลังรักษามิตรภาพที่อันตราย มิตรภาพใดที่จะทำให้มีความรับผิดชอบทางกฎหมายมากเกินไป ถ้าหากวาระของไอซิสจะถูกกำหนดว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
บ่อยครั้งที่ในเรื่องของการเมือง ศีลธรรมและจริยธรรมจะถูกคัดออกไป เหลือพื้นที่ให้เพียงแค่ความโลภและความทะเยอทะยานเท่านั้น

แต่แล้วเรายังจะเหลือคำไหนให้ใช้อีกสำหรับการตัดศีรษะ, การตรึงกางเขน, การเผามนุษย์, การลักพาตัวผู้หญิง และการจับคนจำนวนมากเป็นทาส? จะมีคำไหนเหมาะสมสำหรับการข่มขืนหมู่, การกระทำทารุณกรรมอย่างเป็นระบบ, การล้างสมอง และการบังคับปลูกฝังความเชื่อ ถ้าไม่ใช่คำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์?

ในปี 2014 รัสเซียและจีนได้ออกเสียงคัดค้าน (วีโต้) ร่างมติของยูเอ็นที่เตรียมการเพื่อให้ ICC มีอำนาจในการตัดสินคดีความขัดแย้งในซีเรีย และอาชญากรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในเขตแดนของมัน ในเวลานั้นการกระทำดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างน่าเกลียดโดยสื่อกระแสหลัก หลายคนอ้างว่ามหาอำนาจทั้งสองต้องการที่จะปกป้องผลประโยชน์ทางการเมืองของตน แม้จะเป็นในวิธีของกระบวนการยุติธรรม

เพียงแต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง! เรื่องจริงก็คือ รัสเซียและจีนได้ป้องกันไม่ให้สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เอาระบบกฎหมายมาเล่นเพื่อสร้างคะแนนทางการเมืองอย่างก้าวร้าวต่อประธานาธิบดีบะชัร อัล-อัสซาด

ถ้าวันนี้ UNSC กำลังเล่นเป็นคนหูหนวกต่อเสียงเรียกร้องจากนักเคลื่อนไหว กลุ่มสิทธิ์ และบรรดาผู้นำการเมือง มันก็เป็นเพราะว่าพวกเขากลัวความเกี่ยวพันทางการเมืองและทางกฎหมายที่คำว่า ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จะนำมา

เพราะเมื่อโลกเรียนรู้ที่จะพูดคำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อหน้าอาชญากรรมของไอซิส บรรดาผู้นำโลกก็จะไม่สามารถให้เหตุผลกับประชาชนของตนในการช่วยเหลือและการลดอาวุธของกลุ่มก่อการร้ายได้อีกต่อไป


เขียนโดย Catherine Shakdam
แปลจาก https://www.rt.com/op-edge/320058-mount-sinjar-yazidis-isis/