4 เมษายน 1609 หรือราว 400 กว่าปีที่แล้ว พระเจ้าฟิลลิปที่ 3 แห่งสเปน ได้ลงนามในคำสั่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกสุดของการกวาดล้างชาติพันธุ์ โดยทรงสั่งขับไล่ชาวมุสลิมมอริสโก (Moriscos) 300,000 คน ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์ที่โหดร้ายและน่าสลดใจที่สุดฉากหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสเปน
อันที่จริงเป็นชาวแอฟริกันโบราณที่นำอารยธรรมมาสู่สเปนและส่วนใหญ่ของยุโรป และไม่ใช่ในทางกลับกัน ซึ่งตรงข้ามกับความคิดความเชื่อโดยทั่วไป
อารยธรรมแรกของยุโรปก่อตั้งขึ้นบนเกาะครีตของกรีกใน ค.ศ. 1700 ก่อนคริสตกาล และชาวกรีกส่วนใหญ่มีอารยธรรมก็โดยชาวแอฟริกันผิวดำในหุบเขาไนล์ ชาวกรีกได้ส่งต่อวัฒนธรรมที่ได้มานี้ให้กับชาวโรมันที่สูญเสียมันไปในที่สุด และนำไปสู่การเริ่มต้นของยุคมืด (Dark Ages) ที่กินเวลานานถึงห้าศตวรรษ อารยธรรมได้รับการแนะนำให้รู้จักกับยุโรปอีกครั้งโดยกลุ่มชาวแอฟริกันผิวดำอีกกลุ่มหนึ่งคือ ชาวมัวร์ (The Moors) และนำไปสู่การปิดฉากของยุคมืด
เมื่อมีการสอนประวัติศาสตร์ในตะวันตก ช่วงเวลาที่เรียกว่า “ยุคกลาง” (Middle Ages) โดยทั่วไปจะหมายถึง “ยุคมืด” และอธิบายว่าเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมโดยทั่วไป รวมทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ได้อยู่เฉยๆ บ้าง นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับชาวยุโรป แต่ไม่ใช่สำหรับชาวแอฟริกัน
นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง “เชคห์ อันต้า ดิยอป” (Cheikh Anta Diop) อธิบายว่าในช่วงยุคกลาง อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลกคืออาณาจักรสีดำ และศูนย์กลางการศึกษาและวัฒนธรรมของโลกส่วนใหญ่เป็นชาวแอฟริกัน ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวชาวยุโรปคือกลุ่มคนป่าเถื่อนที่ไร้กฎหมาย
หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ชนเผ่านักรบผิวขาวจำนวนมากมายจากคอเคซัส ถูกผลักเข้าสู่ยุโรปตะวันตกจากการโจมตีโดยชาวฮั่น (Huns) ชาวมัวร์บุกชายฝั่งสเปนในปี 711 และชาวมุสลิมแอฟริกันได้ให้อารยธรรมแก่ชนเผ่าผิวขาวคอเคซัสอย่างแท้จริง ในที่สุดพวกมัวร์ก็ปกครองสเปน โปรตุเกส แอฟริกาเหนือ และฝรั่งเศสตอนใต้เป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี
แม้ว่าผู้ปกครองชาวสเปนหลายชั่วอายุคนพยายามที่จะลบล้างยุคนี้ออกจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ แต่หลักฐานทางโบราณคดีและการวิจัยก็เผยให้เห็นชัดว่าชาวมัวร์ก้าวหน้าในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ศิลปะ และปรัชญา ช่วยขับเคลื่อนยุโรปให้พ้นจากยุคมืดและเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ได้อย่างไร
เบซิล เดวิดสัน (Basil Davidson) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง กล่าวว่า ในช่วงศตวรรษที่แปด ไม่มีดินแดนใด “เป็นที่ชื่นชมของเพื่อนบ้านหรือมีความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากไปกว่าอารยธรรมแอฟริกันที่รุ่มรวยซึ่งก่อตัวขึ้นในสเปน”
ชาวมัวร์เป็นคนผิวดำอย่างไม่ต้องสงสัย และ “วิลเลียม เชกสเปียร์” นักเขียนบทละครชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 16 ใช้คำว่ามัวร์เป็นคำพ้องความหมายสำหรับแอฟริกัน
ยุคนั้น การศึกษาเป็นเรื่องสากลทั่วไปสำหรับชาวมุสลิมในสเปน ขณะที่ 99 เปอร์เซ็นต์ของประชากรชาวคริสเตียนในยุโรปนั้น “ไม่มีการศึกษา” และแม้แต่กษัตริย์ก็อ่านหรือเขียนไม่ได้ ชาวมัวร์มีอัตราการรู้หนังสือสูงอย่างน่าทึ่งสำหรับสังคมยุคก่อนสมัยใหม่ ในยุคที่ยุโรปมีมหาวิทยาลัยเพียงสองแห่ง ชาวมัวร์มีสิบเจ็ดแห่ง ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) ได้รับแรงบันดาลใจในการก่อตั้งสถาบันแห่งนี้หลังจากได้ไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยในสเปน ตามรายงานขององค์การการศึกษาแห่งสหประชาชาติระบุว่ามหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกในปัจจุบันคือมหาวิทยาลัย Al-Karaouine (หรือ al-Qarawiyyin) แห่งโมร็อกโก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงจุดสูงสุดของจักรวรรดิมัวร์ในปี ค.ศ. 859 โดยผู้หญิงผิวดำที่ชื่อ “ฟาติมา อัล-ฟีห์รี” (Fatima al-Fihri)
ในวงการคณิตศาสตร์ ชาวมุสลิมได้นำเลขศูนย์ (0) เลขอารบิค และระบบทศนิยมมาใช้ในยุโรป ซึ่งช่วยให้พวกเขาแก้ปัญหาได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น และเป็นการวางรากฐานสำหรับการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ความอยากรู้อยากเห็นทางวิทยาศาสตร์ของชาวมัวร์ขยายไปสู่การบินและพหูสูต “อิบน์ ฟิรนาส” (Ibn Firnas) ได้ทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกของโลกในด้านการบินในลักษณะที่ควบคุมได้ในปี 875 เอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์เผยว่าความพยายามของเขาได้ผล แต่การลงจอดของเขาค่อนข้างประสบความสำเร็จน้อยกว่า ชาวแอฟริกันขึ้นไปบนท้องฟ้าประมาณหกศตวรรษก่อนที่ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo Da Vinci) ชาวอิตาลีจะพัฒนาเครื่องร่อน
เห็นได้ชัดว่าพวกมัวร์ช่วยพาชาวยุโรปออกจากยุคมืด และปูทางไปสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา อันที่จริงคุณลักษณะจำนวนมากที่ยุโรปสมัยใหม่ภาคภูมิใจนั้นล้วนมาจากสเปนมุสลิม ได้แก่ การค้าเสรี การทูต การเปิดพรมแดน มารยาท การเดินเรือขั้นสูง วิธีการวิจัย และความก้าวหน้าที่สำคัญในด้านเคมี
ในช่วงเวลาที่มัวร์สร้างห้องอาบน้ำสาธารณะ 600 แห่ง และผู้ปกครองอาศัยอยู่ในพระราชวังที่หรูหรา กลับกันกษัตริย์ของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ เชื่อว่าความสะอาดเป็นบาป และกษัตริย์ยุโรปอาศัยอยู่ในโรงนาขนาดใหญ่ ไม่มีหน้าต่างและไม่มีปล่องไฟ มักมีเพียงรูบนหลังคาเพื่อระบายควัน
ในศตวรรษที่ 10 คอร์โดบาไม่ได้เป็นเพียงเมืองหลวงของมัวร์สเปน แต่ยังเป็นเมืองที่สำคัญและทันสมัยที่สุดในยุโรปอีกด้วย คอร์โดบามีประชากรกว่าครึ่งล้านคน และมีไฟถนน มีโรงพยาบาล 50 แห่งที่มีน้ำประปา มัสยิดห้าร้อยแห่ง และห้องสมุดเจ็ดสิบแห่ง หนึ่งในนั้นมีหนังสือมากกว่า 500,000 เล่ม
ความสำเร็จทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นตอนที่ลอนดอนมีประชากรที่ไม่รู้หนังสือเป็นส่วนใหญ่ประมาณ 20,000 คน และส่วนใหญ่ลืมความก้าวหน้าทางเทคนิคของชาวโรมันไปเกือบหกร้อยปีก่อน โคมไฟถนนและถนนลาดยางไม่ปรากฏในลอนดอนหรือปารีสจนกระทั่งหลายร้อยปีต่อมา
คริสตจักรคาทอลิกห้ามการให้กู้ยืมเงินซึ่งขัดขวางความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ยุโรปคริสเตียนในยุคกลางนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก มากเต็มไปด้วยความสกปรก ความป่าเถื่อน การไม่รู้หนังสือ และเวทย์มนต์
ในยุคแห่งการสำรวจที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป สเปนและโปรตุเกสเป็นผู้นำในการเดินเรือทั่วโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการนำทางของชาวมัวร์ เช่น แอสโทรลาเบ (astrolabe = เครืองมือที่นักดาราศาสตร์มุสลิมใช้ในการบอกวันและชั่วโมง ด้วยการสังเกตตำแหน่งของดาว) และเซกแทนต์ (sextant = เครื่องวัดแดด) ตลอดจนการปรับปรุงในการเขียนแผนที่และการต่อเรือ ได้ปูทางไปสู่ยุคแห่งการสำรวจ ดังนั้น ยุคของการครอบงำทั่วโลกของตะวันตกในช่วงครึ่งสหัสวรรษที่ผ่านมามีต้นกำเนิดมาจากกะลาสีมัวร์แอฟริกันแห่งคาบสมุทรไอบีเรียในช่วงทศวรรษที่ 1300
นานก่อนที่พระมหากษัตริย์สเปนจะมอบหมายให้โคลัมบัสค้นหาที่ดินทางตะวันตก ชาวมุสลิมแอฟริกันและชาวมุสลิมอื่นๆ ได้ติดต่อกับทวีปอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญและสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับวัฒนธรรมพื้นเมือง
มีแต่คนสงสัยว่าโคลัมบัสสามารถค้นพบอเมริกาได้อย่างไรในเมื่อผู้คนที่มีอารยะธรรมและซับซ้อนกำลังเฝ้าดูเขามาจากชายฝั่งอเมริกา??
มีหลักฐานใหม่จำนวนมากมายปรากฏขึ้น ซึ่งพิสูจน์ว่าชาวแอฟริกันมักแล่นเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังทวีปอเมริกา หลายปีก่อนโคลัมบัสและก่อนคริสตกาล “ดร. แบร์รี เฟล” แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเน้นย้ำถึงหลักฐานมากมายของชาวมุสลิมในอเมริกาก่อนโคลัมบัสจากงานประติมากรรม ประเพณีปากเปล่าหรือมุขปาฐะ (oral traditions) เหรียญ รายงานจากพยานผู้เห็นเหตุการณ์ สิ่งประดิษฐ์โบราณ เอกสารภาษาอาหรับและจารึก
หลักฐานที่แข็งแกร่งที่สุดของการปรากฏตัวของแอฟริกันในอเมริกาก่อนโคลัมบัสมาจากปากกาของโคลัมบัสเอง ในปี 1920 นักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ลีโอ ไวเนอร์ (Leo Weiner) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเขียนในหนังสือของเขา “แอฟริกาและการค้นพบอเมริกา” ( Africa and the Discovery of America) อธิบายว่า โคลัมบัสระบุไว้ในบันทึกส่วนตัวของเขาว่าชนพื้นเมืองอเมริกันยืนยันว่า
“คนผิวดำมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ในเรือ ค้าขายหอกปลายทองคำ”
มุสลิมในสเปนไม่เพียงแต่รวบรวมและสืบสานความก้าวหน้าทางปัญญาของอียิปต์โบราณ กรีซ และอารยธรรมโรมันเท่านั้น แต่ยังต่อยอดอารยธรรมเหล่านั้น และมีส่วนสำคัญในด้านต่างๆ ตั้งแต่ดาราศาสตร์ เภสัชวิทยา การเดินเรือ สถาปัตยกรรม และกฎหมาย
ความน่าประทับใจที่มีอายุหลายศตวรรษเหล่านี้ถูกตอบแทนโดยนักวิชาการตะวันตกบางคนว่าทวีปแอฟริกาสร้างคุณูปการต่ออารยธรรมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย และผู้คนในทวีปนั้นเป็นชนพื้นเมืองป่าเถื่อน ที่กลายมาเป็นมูลฐานของอคติทางเชื้อชาติ การค้าทาส ลัทธิล่าอาณานิคม และการกดขี่ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องต่อแอฟริกา หากชาวแอฟริกันเขียนประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของพวกเขาขึ้นมาใหม่ พวกเขาจะเผยให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์ที่พวกเขาจะพยายามไขว่คว้ากลับคืนมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และท้ายที่สุด ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อแอฟริกาซึ่งมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ก็คือการที่ประชาชนแห่งแอฟริกาเพิกเฉยต่ออดีตอันรุ่งโรจน์ของแอฟริกา
แปล/เรียบเรียงจาก https://www.globalresearch.ca