ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1258 นครแบกแดดเมืองหลวงของจักรวรรดิอับบาซิด หรือราชวงศ์อับบาซียะฮ์ ได้พ่ายแพ้ต่อชาวมองโกล หลังถูกปิดล้อมนาน 13 วัน
ประชากรส่วนใหญ่ของแบกแดดไม่มีตัวตนอยู่ในโลกอีกต่อไป กาหลิบ ขุนนางอับบาซิด และบุคคลสำคัญมากกว่า 3,000 คนก็ถูกประหารชีวิตเช่นกัน สุเหร่า พระราชวัง ห้องสมุด และโรงพยาบาลถูกเผาทำลายราบคาบ
การล่มสลายของนครแบกแดดถือเป็นจุดจบของยุคทองของอิสลามด้วยเช่นกัน และนับจากนั้นแบกแดดไม่เคยฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตได้อีกเลย
ก่อนที่จะล้อมเมือง “ฮูลากูข่าน” ผู้ปกครองชาวมองโกลได้ส่งทูตไปยังกาหลิบพร้อมกับข้อความว่า “ถ้ากาหลิบพร้อมยอมจำนน ก็ให้เขาออกมา มิฉะนั้น นี่หมายถึงสงคราม”
ตั้งแต่วันที่ 22 ถึง 29 มกราคม กองทัพมองโกลล้อมเมืองเหมือนมดและตั๊กแตนจากทุกทิศทุกทาง ก่อเป็นวงกลมรอบกำแพงเมืองแบกแดด
หน่วยที่ประกอบด้วยทหารปืนใหญ่ชาวจีนหนึ่งพันนายได้ช่วยกันทลายกำแพง พวกเขาตั้งเครื่องยิงตรงข้ามกับหอคอยอาจามิ ( Ajami Tower) ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองและพังมันลงไป
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ชาวมองโกลได้ควบคุมแนวกำแพง กาหลิบพยายามที่จะเจรจาแต่สายเกินไปและถูกปฏิเสธ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เมืองยอมจำนน สามวันต่อมา ชาวมองโกลเข้ามาในเมือง และแบกแดดถูกปล้นสะดมเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ชาวเมืองส่วนใหญ่ถูกอาวุธดาบฟันไล่ล่าสังหารหมู่ รางน้ำและลำคลองของเมืองกลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนที่จะถอยทัพ ชาวมองโกลได้ทำลายล้างพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ทำลายคลองและเขื่อนกั้นน้ำซึ่งเป็นระบบชลประทานและน้ำประปาของเมือง