เกมถอดถอน “ยิ่งลักษณ์” จำนำข้าว ฉุดการเมืองไทยกลับไปสู่วังวนเดิมๆ

ว่ากันตามเนื้อผ้า ก็มิใช่ว่า เกมถอดถอน “ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว โดย ปปช.และสนช.จะง่ายเหมือนกับพลิกฝ่ามือ หรือเป็นไปตาม “ธง” ที่หลายฝ่ายวิเคราะห์เอาไว้ล่วงหน้า

ด้วยอุปนิสัยสำคัญของคนไทย ในเรื่อง “ขี้สงสาร” นั้นมีอิทธิพลสูงล้ำ และเคยเกิดเป็นกรณีให้เห็นมาแล้ว โดยเฉพาะกรณีของ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แม้จะมีคำตัดสินให้มีความผิดคดีอาญา ในเรื่อง “ที่ดินรัชดา” แต่ กระแสตีกลับ กลายเป็น “เพิ่มกำลัง” ให้กับ ฝ่ายสนับสนุน โดยเฉพาะคนเสื้อแดง

ความ “ขี้สงสาร” อันเป็นอุปนิสัยของคนไทยแต่ดั้งเดิมมา กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่ถูกหยิบยกมาใช้ในทางการเมืองบ่อยครั้ง ทั้งด้วยเหตุบังเอิญ และไม่บังเอิญ ได้ผลสำเร็จมาก็หลายครั้งหลายคราว

ใช่แต่เพียงว่า “ปปช.-สนช.” ที่เร่งเดินหน้าใช้ทุกสรรพวิชา สรรพกำลัง ทั้งที่ค้านสายตาและไม่ค้านสายตาประชาชน ในคดีนี้  เพื่อจะนำ “ยิ่งลักษณ์” เข้าสู่กระบวน “ตัดสิทธิทางการเมือง” จะยากมากกว่าเดิม เพราะความ “ใจร้อน” ข้ามประเด็นอันมีสาระสำคัญเท่านั้น

“สำนักอัยการสูงสุด” คู่ปรับสำคัญที่ถูกขโมยซีน ในคดีสำคัญนี้ ก็มีเหตุผลไม่ใช่น้อย จากการออกมาให้ข่าวแต่ละครั้งแต่ละคราว จนแสงไฟสปอรต์ไลท์ เริ่มจับตาม อย่างมีนัยยะ

กลับมาที่ “คะแนนสงสาร” ที่เริ่มกลายเป็นกระแสมากขึ้น เมื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยหันไปเปรียบเทียบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีรับจำนำข้าว ทั้งที่เปรียบเทียบเอากับ “ประกันราคาข้าว” ที่ “ถูกทำหลุดมือหล่นหายไปกับสายน้ำ” หรือ แม้แต่ “คดีปรส.” ที่ถูกยื้อยุดไปจนหมดอายุความ หรือแม้แต่การเรียบเรียงเอาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น กับความรีบๆ รนๆ คล้ายว่า “จ้องจะเอาผิดกันให้ได้” ที่บังเอิญไปคล้ายกับกรณี “แฉจำนำข้าว” แบบจ้องจะเอาผิด โดย “หมอวรงค์ เดชวิกรม” อดีต สส.พิษณุโลกจากพรรคประชาธิปัตย์

เร้าด้วยคำพูดที่ไม่จำเป็นของ สนช.สายต้าน ที่ออกมาแสดงออกโดยไม่จำเป็น ถึงโทษในการตัดสิทธิ์ทางการเมืองแบบรุนแรง แบบ “ตลอดชีวิต”

กลายเป็นภาพที่หลายคนมองแล้วได้แต่ถอนหายใจ ถึงชะตากรรม “นายกหญิงฯคนแรกของประเทศไทย” ที่ “ส่อว่า” จะซ้ำรอยพี่ชาย ที่ต้องมีคดีติดตัวหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549

แต่ทั้งหมดต้องไม่ลืมว่า กระบวนการทั้งหลายที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ก็สะท้อนภาพมาตรฐานของปปช.ได้อย่างชัดเจน !!

และอาจเป็นจุดพลิกผันสำคัญ ให้คำว่า “คะแนนสงสาร” พุ่งพรวดพราดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เพราะต้องไม่ลืมประวัติศาสตร์การเมืองหน้าสำคัญหน้าหนึ่ง หลังการรัฐประหารปี 2549 กับการตัดสินคดีที่ดินรัชดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้พี่ พรรคพลังประชาชนของ “สมัคร สุนทรเวช” ที่เป็นรากเค้าของ “พรรคไทยรักไทย” ในการเลือกผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยพ.ศ. 2550 

ก็ยังโกยคะแนนและที่นั่งในสภาได้ถึง 199 เสียง ในจำนวนสส.400 คน จนเกือบจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ในคราวนั้น  ก่อน “นายกฯ สมัคร” จะถูกตัดสินให้ออกจากตำแหน่ง กรณี “ทำกับข้าว” อันลือลั่น

รวมถึงการเลือกตั้งในปี 2554 หลังการปลด “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จนนำไปสู่การเลือกตั้ง และเป็นชัยชนะของพรรคเพื่อไทย  แบบถล่มทลาย จากจำนวนสส.500 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยกวาดไปถึง 265 ที่นั่ง และก็เช่นเดียวกันกับพรรคพลังประชาชน ที่จำนวนสส.มากพอที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้อีกเช่นกัน จนได้นายกหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และนำไปสู่การรัฐประหารอีกครั้ง

 ทั้งหมดอาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ หรืออาจเกิดจากผลสะท้อนจาก “คะแนนสงสาร” สุดแต่จะมีมุมมองกันออกไป

แต่สิ่งที่เห็นบนหน้ากระดานการเมืองไทยในขณะนี้ คนในซีก พรรคเพื่อไทย คนในซีกตระกูลชินวัตร มีลักษณะคล้าย “กระท้อนที่ ยิ่งทุบยิ่งหวาน ยิ่งทุบยิ่งมัน”

เร้าตามกระแส “คะแนนสงสาร” ที่พุ่งพรวด ท่ามกลางเกมอำนาจรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ถูกสารพัดกดดัน ถามกันไปถึง การ “ปลดยันต์รัฐประหารออกจากบานประตู เปิดสู่การเลือกตั้ง” ท่ามกลางหลากกระแสที่รุ้มเร้า ทั้งจากเวทีนานาชาติ และสภาพเศรษฐกิจของประเทศ

ที่หลายคนเริ่มวาดภาพลางๆ ของ “นักเลือกตั้งลงสนาม” ในนามพรรคเพื่อไทย ที่แม้จะไม่มีชื่อของ “ยิ่งลักษณ์” ก็ยังอาจเข้าป้ายเข้าวินเป็นรัฐบาลได้อีกไม่ยาก

แม้จะทุ่มทุกทรัพยากร ทั้งเชือด แม้ทัพ ทั้งเฉือนทัพ ตัดกำลังด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งทุ่มกระแสโจมตี โดยพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งข้อหาอุกฉกรรจ์สารพัด !!

แต่เชื่อขนมกินได้ “พรรคเพื่อไทย” ต่อให้ต้องถูกยุบพรรค และเปลี่ยนชื่อใหม่ ก็ยังคงได้กลับมาเป็นรัฐบาล และนำประเทศกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ที่เคยเป็นมา การเมืองป่วนปั่นกันไม่มีวันสงบ

ไม่ต้องถามถึงว่า “รัฐประหารมาแล้วจะเสียของหรือไม่?” แต่ต้องตอกย้ำด้วยคำว่า “เสียงตัดสินของประชาชน ฆ่าไม่ตาย จริงหรือไม่?”

เช่นนั้นแล้ว “เกมถอดถอนคดีจำนำข้าว” ลากยาวไปถึงรัฐประหารครั้งล่าสุด ก็จะหมดประโยชน์ยิ่งกว่าเสียของไม่ต่างจากครั้งผ่านๆ มา แถมกลายเป็นหลุม กระตุ้น “คะแนนสงสาร” และอาจไปกระตุกต่อมคึก “กลุ่มหัวก้าวหน้า” ที่เบื่อหน่ายกระบวนการตัดสิทธิ์ตัดสิน ที่ดู บิดๆ เบี้ยวๆ รีบๆ ร้อนๆ รุกลี้รุกลน   

และกงล้อประวัติศาสตร์การเมืองก็อาจจะนำประเทศและการเมืองไทย กลับไปที่จุดเดิมกับความขัดแย้งแบ่งฝักแย่งฝ่าย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!!

 
โต๊ะข่าวการเมือง / รายงาน