กรมการพัฒนาชุมชน จับมือ กรมการปกครอง ลงนามบันทึกข้อตกลง ใช้ข้อมูลทะเบียนราษฎรจากฐานข้อมูลกลาง เน้นสะดวก ลดซ้ำซ้อน

กรมการพัฒนาชุมชน ร่วมกับกรมการปกครอง ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการขอใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนราษฎรจากฐานข้อมูล ทะเบียนกลาง และข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) เน้นสะดวก รวดเร็ว ประหยัด ลดความซ้ำซ้อน

นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยนายชำนาญวิทย์  เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการขอใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนราษฎรจากฐาน ข้อมูลทะเบียนกลาง และข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชน และกรมการปกครอง โดยมีนายทวีป บุตรโพธิ์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ตัวแทนจากรมการพัฒนาชุมชนและกรมการปกครอง ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 การขอใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร จากฐานข้อมูลทะเบียนกลางด้วยระบบคอมพิวเตอร์ โดยวิธีแฟ้มข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (BATCH PROCESSING) ฉบับที่ 2 การขอใช้ประโยชน์ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางด้วยระบบ คอมพิวเตอร์ โดยวิธีเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (ONLINE) ฉบับที่ 3 การขอใช้โปรแกรมสำหรับอ่านข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชน

นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ กล่าวว่า เนื่องจาก กรมการปกครอง มีฐานข้อมูล ที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก ในส่วนกรมการพัฒนาชุมชน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นตรงนี้เนื่องจากว่า กรมการพัฒนาชุมชน มีงานหลายงานที่ยึดโยงกับตัวบุคคลเช่น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่มีสมาชิกมากกว่า 10 ล้านคน ซึ่งข้อมูลตรงนี้ยึดโยงกับเลข 13 หลัก โดยข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ค่อนข้างมาก หรือแม้แต่โครงการสำรวจความจำเป็นพื้นฐานของพี่น้องประชาชน หรือ จปฐ. ที่ได้สำรวจ 12 ล้านครัวเรือนทุกปี ปีต่อปี หรือแม้แต่ข้อมูลเรื่อง otop ที่มีสมาชิกหรือมีผลิตภัณฑ์ถึง 8 หมื่นกว่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะทำให้เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และต้องเชื่อมโยงกันระหว่างส่วนราชการต่างๆ ซึ่งก็เริ่มแล้วคือในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในเรื่องนี้ พลเอกอนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้นโยบายว่า กระทรวงมหาดไทย ควรจะเชื่อมโยงให้ได้ก่อน ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนก็เริ่มจากตรงนี้ เราก็จะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ไปยึดโยงกับเลข 13 หลักของกรมการปกครอง ซึ่งข้อมูลจะใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ทั้งสองฝ่ายและยังนำไปพัฒนาต่อยอดในงาน ของกรมการพัฒนาขุมชนได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมทั้งประเทศ พร้อมกล่าวด้วยว่า หลังจากที่มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน 3 ฉบับ แล้วก็จะมีการพัฒนาขั้นตอนต่อไป โดยจะนำข้อมูลที่มีอยู่มาเชื่อมกับกรมการปกครอง ซึ่งอันดับแรกที่ต้องเชื่อมโยงข้อมูลคือตัวสมาชิกกองทุนฯ เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวบุคคล และระบบจ่ายตรง เวลาสมาชิกกองทุนฯถึงเวลาชำระเงินกู้ สามารถไปจ่ายได้โดยตรงที่ธนาคาร ซึ่งทำให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารจัดการมากขึ้น

นายชำนาญวิทย์  เตรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวด้วยว่า จากที่ตกลงร่วมกันฐานข้อมูลที่จะใช้จริงๆ  คือเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ชื่อและนามสกุล และข้อมูลว่าอยู่บ้านเลขที่ไหน เวลาจะใช้ข้อมูลก็ต้องมีเครื่องอ่านบัตร ซึ่งถือว่าเป็นการลดขั้นตอนการทำงานต่างๆ ให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนด้วย