สงครามฉนวนกาซา: 7 ตุลาคม ทำลายตำนานความไร้เทียมทานของกองทัพอิสราเอลไปตลอดกาล

การตอบสนองอันเลวร้ายของอิสราเอลต่อการโจมตีของกลุ่มฮามาส ได้ทำลายอนาคตของอิสราเอลในฐานะผู้นำในภูมิภาคและแม้กระทั่งการอยู่รอดของอิสราเอล

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2023 สองสัปดาห์ก่อนปฏิบัติการพายุอัลอักซอในวันที่ 7 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลได้กล่าวปราศรัยต่อสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับ “ตะวันออกกลางใหม่” โดยเขาได้อวดอ้างถึงอำนาจและสถานะของอิสราเอลในฐานะผู้บังคับใช้ความมั่นคงในภูมิภาค

เขาชูแผนที่ซึ่งแสดงเส้นทางจากอินเดียผ่านอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และจอร์แดน จากนั้นไปยังเมืองท่าไฮฟาของอิสราเอล และไปสิ้นสุดที่ยุโรปในที่สุด

โครงการอันยิ่งใหญ่นี้ได้รับฉายาว่า “โครงการระเบียงอินเดีย-ตะวันออกกลาง-ยุโรป” (India-Middle East-Europe Corridor – Imec) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เพื่อต่อต้าน “โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (BRI) ของจีน

เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่สหรัฐฯ ได้พยายามปรับทิศทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติระดับโลกใหม่ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุด นั่นคือ จีนที่กำลังเติบโตขึ้น และรัสเซียที่กลับมาประกาศตัวอีกครั้ง

แต่ใน “ตะวันออกกลาง” ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่สำคัญที่สุดสำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ สหรัฐฯ ได้เลือกที่จะลดบทบาททางทหาร และมอบหมายบทบาทในการรักษาผลประโยชน์และรักษาเสถียรภาพให้กับพันธมิตรที่ไว้วางใจมากที่สุดสองประเทศ ได้แก่ อิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย

เป็นนโยบายที่คล้ายกับหลักการของนิกสัน ซึ่งถูกนำมาใช้ในช่วงต้นทศวรรษปี 1970 และเป็นที่รู้จักในชื่อ “เสาหลักคู่” (Twin Pillars)

นโยบายดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับตำแหน่งของกองกำลังทหารสหรัฐฯ และมอบหมายภารกิจในการปกป้องความมั่นคงและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางให้กับมหาอำนาจในภูมิภาค

ความพ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์

หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์เป็นตัวกลางในการทำ “ข้อตกลงอับราฮัม” (Abraham Accords) ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับหลายประเทศในช่วงปีสุดท้ายที่อยู่ในตำแหน่ง รัฐบาลก็ตัดสินใจย้ายอิสราเอลจากการเป็นพันธมิตรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในกองบัญชาการทหารยุโรป (นาโต) และรวมเข้าไว้ในโครงสร้าง CentCom ซึ่งเป็นกองบัญชาการทหารของสหรัฐฯ ที่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคสำคัญแห่งนี้ซึ่งทอดยาวจากอียิปต์ไปจนถึงอัฟกานิสถาน

นโยบายนี้ได้รับการยอมรับอย่างกระตือรือร้นโดยรัฐบาลไบเดนเมื่อเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2021 ในวันเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีคนใหม่ได้แต่งตั้ง “เบรตต์ แมคเกิร์ก” ให้ดำเนินการตามนโยบายนี้ในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบภูมิภาค MENA (ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ) ในสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ

นับตั้งแต่นั้นมา แมคเกิร์กซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแรงกล้าและมีทัศนคติแบบนักล่าอาณานิคม ได้ทำงานอย่างขยันขันแข็งในการบรรลุข้อตกลงเพื่อปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติระหว่างอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถบรรลุได้ในช่วงต้นปี 2024

ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิสราเอลหวังที่จะสามารถเสริมสร้างอำนาจของตนในภูมิภาค ยกระดับสถานะของตนในโลกอิสลาม และยืนยันตนเองในฐานะผู้นำในภูมิภาค แต่แผนดังกล่าวกลับล้มเหลวหลังจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม

นับตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซา ระบอบไซออนิสต์และรัฐบาลไบเดนมีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูภาพลักษณ์ความไร้เทียมทานของกองทัพอิสราเอล ซึ่งถูกทำลายล้างอย่างรุนแรงจากการโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม

เพื่อจุดประสงค์นี้ ผู้นำทางการเมืองและการทหารของอิสราเอลจึงจงใจก่อสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อสร้างความหายนะให้กับฉนวนกาซา ทำให้ไม่อาจอยู่อาศัยได้และลงโทษประชากรอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสตรี เด็ก และผู้สูงอายุ

แม้ว่าความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นในฉนวนกาซาในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเกิดการทำลายล้างในระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่อิสราเอลก็ยังประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ เนื่องจากหลักคำสอนทางทหารของตนถูกกัดกร่อนลง

หลักคำสอนนี้ประกอบด้วยหลักบังคับทางทหารหลายประการที่รัฐไซออนิสต์พึ่งพาเพื่อความอยู่รอดและความมั่นคงนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเมื่อกว่าเจ็ดทศวรรษก่อน

ไม่มีพรมแดนที่ปลอดภัยอีกต่อไป

หนึ่งในเสาหลักแห่งหลักเกณฑ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติของอิสราเอลคือแนวคิดเรื่อง “พรมแดนที่ปลอดภัย” ตลอดระยะเวลาที่อิสราเอลดำรงอยู่ รัฐบาลอิสราเอลพยายามสร้างเขตกันชนรอบพรมแดนของตนอยู่เสมอ และทำให้แน่ใจว่ารัฐบาลโดยรอบอ่อนแอและพร้อมที่จะรับใช้ผลประโยชน์ของอิสราเอลและชาติตะวันตก

การรุกรานคาบสมุทรไซนายของอียิปต์โดยอิสราเอลในปี 1956 และ 1967 ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนคาบสมุทรไซนายให้กลายเป็นเขตกันชน แม้ว่าระบอบการปกครองอียิปต์จะตกลงที่จะลงนามใน “สนธิสัญญาสันติภาพ” กับอิสราเอลในปี 1979 แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ทำให้คาบสมุทรไซนายกลายเป็นเขตกันชนโดยปริยาย เนื่องจากจำกัดอำนาจอธิปไตยของอียิปต์และกองกำลังทหารในพื้นที่ดังกล่าว

ในทำนองเดียวกัน ระบอบการปกครองของอิสราเอลได้ยึดครองที่ราบสูงโกลันของซีเรียในปี 1967 และผนวกเข้าเป็นดินแดนในปี 1981 โดยอ้างว่าจะจัดตั้งเขตกันชนที่นั่น หนึ่งปีต่อมาในปี 1982 อิสราเอลได้รุกรานเลบานอนเพื่อยึดครองเขตกันชนที่นั่น ซึ่งจะขยายออกไปจนถึงแม่น้ำลิตานี ซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนทางเหนือออกไปประมาณ 27 กิโลเมตร

หลังจากอยู่ภายใต้การยึดครองทางทหารเป็นเวลา 18 ปี ในปี 2000 อิสราเอลจำเป็นต้องถอนตัวออกจากเขตความปลอดภัยที่ประกาศไว้ประมาณ 850 ตารางกิโลเมตร หลังจากที่สูญเสียชีวิตทหารไปหลายร้อยนายภายใต้การต่อต้านอย่างรุนแรงที่นำโดยกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แห่งเลบานอน

โดยใช้ตรรกะเดียวกัน อิสราเอลยังคงยืนกรานว่าหุบเขาจอร์แดนจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลเสมอ เพื่อทำหน้าที่เป็นเขตกันชนกับจอร์แดน

เมื่อเนทันยาฮูยืนกรานในจุดยืนนี้ระหว่างการเจรจากับจาเร็ด คุชเนอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ของทรัมป์ในปี 2020 แผนฉบับสุดท้ายได้รวมหุบเขาจอร์แดนไว้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่อิสราเอลจะได้รับอนุญาตให้เก็บรักษาไว้

อย่างไรก็ตาม การโจมตี 7 ตุลาคมและสงครามที่เกิดขึ้นตามมาในหลายแนวรบ ได้แสดงให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องพรมแดนที่ปลอดภัยของอิสราเอลนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเท่านั้น ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารขั้นสูงล่าสุด รวมถึงจรวดพิสัยไกล ขีปนาวุธพิสัยไกล และโดรนที่มีความแม่นยำสูง กลุ่มต่อต้านจึงสามารถโจมตีเป้าหมายที่อ่อนไหวได้ตามต้องการ ซึ่งรวมถึงภายในรัฐอิสราเอลด้วย

ความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่

หลักเกณฑ์ทางทหารของอิสราเอลมีพื้นฐานอยู่บนหลัก 6 ประการ ได้แก่ การโจมตีเชิงป้องกัน ระบบเตือนภัยล่วงหน้า การยับยั้งอย่างมีประสิทธิภาพ การป้องกันที่เข้มแข็ง การแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว และการเพิ่มระดับความรุนแรง

องค์ประกอบเหล่านี้ทั้งหมดถูกทำให้อ่อนแอลงหรือถูกทำลายลงตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม

ในระหว่างความขัดแย้งหลายครั้ง อิสราเอลมักอาศัยการโจมตีศัตรูก่อนเป็นอันดับแรก

ยกเว้นสงครามในปี 1973 เท่านั้น ที่เหลืออิสราเอลได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งผ่านการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวหรือการรุกรานมาโดยตลอด รวมถึงในปี 1948, 1956, 1967, 1982 และ 2006 เช่นเดียวกับสงครามสี่ครั้งที่อิสราเอลเริ่มต้นในฉนวนกาซาระหว่างปี 2008 ถึง 2021

อย่างไรก็ตาม การโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคมได้สร้างความตกตะลึงให้กับระบอบไซออนิสต์ด้วยขอบเขตและผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากฮามาสได้เปิดฉากโจมตีเป้าหมายของอิสราเอลหลายแห่งอย่างกล้าหาญ รวมทั้งฐานทัพทหาร สำนักงานใหญ่ข่าวกรองที่ทำหน้าที่กำกับดูแลฉนวนกาซา และนิคมต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง

ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง การโจมตีดังกล่าวได้ทำให้หน่วยทหารอิสราเอลหลายหน่วยหยุดชะงัก ส่งผลให้ประชาชนชาวอิสราเอลสูญเสียความมั่นใจต่อผู้นำทางทหารและการเมือง

องค์ประกอบที่สองที่หลักเกณฑ์ทางทหารของอิสราเอลพึ่งพา คือความสามารถในการปกป้องประเทศโดยใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่เหนือกว่า

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่อิสราเอลภาคภูมิใจในเครือข่ายข่าวกรองมนุษย์ที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งมีความสามารถในการแทรกซึมและกำจัดศัตรู รวมถึงระบบเฝ้าระวังทางเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งมีอุปกรณ์เพื่อหยุดยั้งการแทรกซึมและการละเมิดความปลอดภัยได้

ทว่าความล้มเหลวครั้งใหญ่ของหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รวมทั้งความไม่สามารถรับรู้ถึงขนาดของเครือข่ายอุโมงค์ของกลุ่มฮามาส ระบบอาวุธขั้นสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือศักยภาพด้านขีปนาวุธของอิหร่าน ชี้ให้เห็นถึงการกัดเซาะอย่างมีนัยสำคัญต่อหลักการนี้

สงครามแห่งความสูญเสีย

องค์ประกอบที่สามซึ่งอาจสำคัญที่สุดของหลักเกณฑ์ทางทหารของอิสราเอลคือการยับยั้งอย่างมีประสิทธิผล โดยทั่วไปแล้ว ท่าทีทางทหารของอิสราเอลในอดีตอาศัยความสามารถในการยับยั้งศัตรูไม่ให้กล้าโจมตีเพราะกลัวการตอบโต้ที่หนักหน่วงและรุนแรง

หลักเกณฑ์ทางทหารนี้อาจอธิบายความโหดร้ายทารุณที่ระบอบไซออนิสต์ได้ก่อขึ้นในฉนวนกาซาหลังการโจมตีของกลุ่มฮามาส ซึ่งฝ่าฝืนต่อกฎหมายสงครามและอนุสัญญาว่าด้วยมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะต้องประสบพฤติกรรมที่โหดร้ายและเลือดเย็น แต่ก็ไม่มีใครยอมแพ้ โดยเฉพาะกลุ่มต่อต้านในฉนวนกาซา ที่ยังคงสู้รบในสงครามที่ดุเดือด

อิสราเอลไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ประกาศไว้ต่อฉนวนกาซา เช่น การกำจัดกลุ่มต่อต้าน การปลดปล่อยเชลยศึก หรือการขับไล่กลุ่มฮามาสออกไปเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขใดๆ เพื่อยุติสงครามได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันทางการทหารและการเมืองมหาศาลต่อกลุ่มต่อต้านจากอิสราเอล สหรัฐฯ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับนานาชาติอื่นๆ ก็ตาม

ในทำนองเดียวกัน ทั้งกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอนและกลุ่มฮูซีในเยเมนต่างก็ไม่ยอมถอยหนี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อิสราเอลต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายที่ทำสงครามกันซึ่งยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง กองกำลังของอิสราเอลถูกทำลาย และสูญเสียความสามารถในการข่มขู่และทำให้ศัตรูหวาดกลัว ซึ่งเป็นลักษณะที่อิสราเอลให้ความสำคัญมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ

องค์ประกอบที่สี่ในหลักเกณฑ์ทางทหารของอิสราเอลคือการป้องกันประเทศที่แข็งแกร่ง นับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ อิสราเอลได้แสดงให้เห็นว่ากองทัพของตนนั้นไม่อาจเอาชนะได้ มีวินัย และแข็งแกร่งกว่าศัตรูทั้งหมดรวมกัน

ภาพนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากพลเมืองอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังเป็นมุมมองที่หลายประเทศทั่วโลกต่างก็เห็นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหรัฐฯ มักจะจัดหาระบบอาวุธที่ทันสมัยที่สุดให้กับรัฐไซออนิสต์ และแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองที่ละเอียดอ่อนที่สุดให้กับรัฐไซออนิสต์มากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม พลเมืองอิสราเอลไม่เคยรู้สึกเปราะบางมากขนาดนี้มาก่อน

ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลหลายแสนคนต้องอพยพออกจากทางเหนือและทางใต้เป็นเวลานานกว่าแปดเดือน และย้ายไปยังใจกลาง เนื่องจากพวกเขายังคงไม่สามารถกลับไปยังถิ่นฐานของตนได้

ในความเป็นจริง ชาวอิสราเอลมากกว่าครึ่งล้านคนได้ออกจากประเทศไปในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนและความปลอดภัยที่เสื่อมถอยลงทั่วประเทศ

เมื่ออิหร่านโจมตีในเดือนเมษายนเพื่อตอบโต้การโจมตีสถานทูตของอิสราเอลในซีเรีย อิสราเอลต้องการความช่วยเหลือจากประเทศใหญ่ๆ รวมถึงสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และแม้แต่จอร์แดน เพื่อตอบโต้การโจมตีดังกล่าว ซึ่งประกาศต่อสาธารณะและไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสูญเสียต่อมนุษย์หรือทางวัตถุ

กองทัพและสังคมที่หมดกำลังใจ

โดยสรุป ถึงแม้ว่าอิสราเอลจะมีเทคโนโลยีทางทหารที่ล้ำหน้าที่สุดและทันสมัยที่สุดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป แต่การเผชิญหน้ากันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในหลายแนวรบ แสดงให้เห็นว่าหลักเกณฑ์นี้อ่อนลงอย่างมาก เนื่องจากอิสราเอลไม่สามารถอ้างได้อีกต่อไปว่าสามารถปกป้องพลเมืองของตนจากภัยคุกคามใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ อิสราเอลยังต้องเผชิญความสูญเสียทางทหารเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป จะทำให้ความสามารถในการสร้างแนวป้องกันที่แข็งแกร่งหรืออ้างสิทธิ์ในกองทัพที่มีประสิทธิภาพลดน้อยลง เสียงเรียกร้องให้เกณฑ์นักศึกษาศาสนาเข้าเป็นทหารมีมากขึ้น ในขณะที่ชุมชนศาสนายังคงยืนกรานว่าจะไม่รับใช้ในสถาบันฆราวาส

ขณะเดียวกัน “อาวิกดอร์ ลีเบอร์แมน” อดีตรัฐมนตรีกลาโหม กล่าวว่า อิสราเอลสูญเสียทหารไปแล้วหนึ่งกองพลในฉนวนกาซา ซึ่งอาจหมายถึงทหารระหว่าง 2,000 ถึง 5,000 นาย อย่างไรก็ตาม โฆษกกองทัพสามารถยอมรับต่อสาธารณะได้เพียงว่ามีทหารเสียชีวิตไม่ถึง 600 นาย กระทรวงกลาโหมยังระบุด้วยว่าอิสราเอลมีทหารพิการจากสงครามนี้ประมาณ 9,000 นาย

จำนวนนี้ถือว่า “สูงมาก” หากพิจารณาจากจำนวนทหารพิการในสงครามก่อนหน้านี้ในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนรวมกันอยู่ที่ประมาณ 61,000 นาย

หลักเกณฑ์ข้อที่ห้าที่กองทัพอิสราเอลสามารถใช้ได้ผลในสงครามก่อนหน้านี้ คือการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

ในสงครามทุกครั้งที่ผ่านมา อิสราเอลเคยประกาศว่าตนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ แต่หลังจากก่อสงครามที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และทำลายล้างมานานเก้าเดือน อิสราเอลก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการทหารหรือการเมืองได้เลย

ความล้มเหลวนี้ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรง และกองทัพและสังคมของอิสราเอลก็เสื่อมเสียขวัญมากยิ่งขึ้น

ชัยชนะที่เลื่อนลอย

หลักเกณฑ์ที่หกและสุดท้าย คือการครอบงำด้วยการยกระดับ

ความจำเป็นนี้หมายความว่าเมื่ออิสราเอลอยู่ภายใต้การโจมตีที่ท้าทาย พวกเขาจะยกระดับความรุนแรงทางทหารอย่างไม่มีขีดจำกัด จนกระทั่งศัตรูถูกครอบงำและยอมจำนนต่อคำสั่งของอิสราเอล

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ อิสราเอลต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างมุ่งมั่น แม้จะถูกทำลายล้างครั้งใหญ่และพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากในฉนวนกาซา แต่อิสราเอลก็ไม่สามารถกำจัดหรือปิดปากการต่อต้านในฉนวนกาซาหรือเลบานอนได้ด้วยกำลังทหาร

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออิหร่านยิงขีปนาวุธหลายลูกที่ไปถึงเป้าหมายทางทหารที่ตั้งใจไว้ ปฏิกิริยาของอิสราเอลก็ย่ำแย่ถึงขนาดที่ไม่ตอบโต้

ในทำนองเดียวกัน อิสราเอลไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายของกลุ่มฮูซี ไม่ว่าจะเป็นในทะเลแดงหรือเมดิเตอร์เรเนียน และได้ขอความช่วยเหลือจากกองทัพเรือสหรัฐฯ และอังกฤษ แต่ก็แทบไม่ประสบความสำเร็จเลย

เนื่องจากหลักเกณฑ์ทางทหารของอิสราเอลอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญอันเป็นผลจากสงครามฉนวนกาซาที่ยังคงดำเนินอยู่ ประเทศในภูมิภาคหลายแห่งที่เคยพร้อมจะส่งมอบหมายให้อิสราเอลดูแลเสถียรภาพของภูมิภาคและอยู่ภายใต้การควบคุมที่มีประสิทธิผลของอิสราเอล จะเริ่มตั้งคำถามถึงคุณค่าและความสามารถของอิสราเอลในการอยู่รอด และรวมถึงในการเป็นผู้นำในภูมิภาคอีกด้วย

เนทันยาฮูและคณะรัฐมนตรีสงครามของเขาออกมาตอบโต้หลังจากการโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยกำลังพยายามมองหามองหาชัยชนะที่เลื่อนลอย

อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ที่บกพร่องและพฤติกรรมที่ประมาทของพวกเขา ได้บ่อนทำลายทุกองค์ประกอบของหลักการทางทหารของพวกเขา

ในกระบวนการนี้ พวกเขาก็ได้ยืนยันถึงความล้มเหลวของตนด้วยการลืมสุภาษิตของซุนวูที่ว่า “ผู้ที่ชะตาต้องพ่ายแพ้จะสู้ก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงมองหาชัยชนะ”

 

เขียนโดย: “ซามิ อัล-อาเรียน” ผู้อำนวยการศูนย์อิสลามและกิจการโลก (CIGA) ที่มหาวิทยาลัยอิสตันบูล ไซม์ เขาเกิดที่ปาเลสไตน์และอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาสี่ทศวรรษ (1975-2015) โดยดำรงตำแหน่งนักวิชาการอาวุโส วิทยากรที่มีชื่อเสียง และนักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนจะย้ายไปตุรกี เขาเป็นผู้เขียนงานวิจัยและหนังสือหลายเล่ม

แปล/เรียบเรียงจาก https://www.middleeasteye.net