หมดช่วงพักยก เว้นวรรคม็อบการเมืองเดือด ที่ปล่อยให้คนไทยได้หายใจหายคอ กลับไปเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขช่วงสงกรานต์ กับครอบครัวกันแล้ว ทุกสีทุกฝ่าย ทั้ง กลุ่ม กปปส. กลุ่ม นปช. พร้อมจกันหยุดความเคลื่อนไหว ผ่อนคลายอารมณ์มวลชนที่ถูกปลุกเร้าจนไม่เหลือที่ว่างในหัวใจให้กับคนที่เห็นต่าง
เมื่อเทศกาลแห่งความสุขผ่านพ้นไป ก็ต้องกลับเข้าสู่ความจริงของชีวิต ในโหมด “การเมืองเข้มข้น”อีกครั้ง เรื่องร้อนๆทางการเมือง รอจ่อคอหอยอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะโฟกัสไปที่คดีความต่าง ๆ ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่เงื้อง่าราคาแพงกันมานาน ก็ได้เวลาที่จะลงดาบฟันรัฐบาล“นายกฯปู” ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้กระเด็นหลุดจากขั้วอำนาจ
ไม่ว่าจะเป็นคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามดึงเกมยื้อกันสุดชีวิต ขอเพิ่มพยานกันเป็นสิบปาก ขณะที่ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งเปรียบเสมือนยมทูตชี้เป็นชี้ตายในคดีนี้ ก็หั่นแล้วหั่นอีกจนเหลือพยานอยู่ไม่กี่ปาก ก็คงอีกไม่นานคงเข้าสู่หลักประหารกันได้
หรือ คดีที่สอดใส้แทรกกันมาในวาระร้อนอย่าง คำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. ที่เป็นขมิ้นกับปูนกับรัฐบาลปู ซึ่งร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) และ (3) กรณีโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี
เลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ หรือไม่ แถมยังสอดคำร้องแทรกเพิ่มเข้าไปด้วยว่า หากวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวแล้ว จะดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 อย่างไร
จึงเห็นได้ว่าชะตากรรมของประเทศในระยะสั้น จึงอยู่ในมือขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอย่าง ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะนำไปสู่เงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมาแน่ เมื่อ “กำนันเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ก็ประกาศชัดเจนแล้วว่า หากได้รับซิกสัญญาณจะมีการตัดสินคดีเหล่านี้เมื่อไหร่ จะระดมมวลมหาประชาชนของกปปส. ออกมาเป็นเกราะป้องกัน ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยตัดสินเพื่อเขี่ยเครือข่ายระบอบทักษิณให้พ้นไปจากวงจรอำนาจ
ช่วงที่ผ่านมาจึงใช้ยุทธศาสตร์เดินสายเคลื่อนไหวไปยังส่วนราชการ และหน่วยงานภาครัฐที่แสดงตัวแสดงตนยืนอยู่ข้างกปปส. ให้เห็นภาพว่ากลุ่มก้อนเหล่านี้พร้อมจะออกมาต่อสู้ร่วมกับมวลมหาประชาชน
ขณะเดียวกันทางกลุ่มนปช. ภายใต้การนำของ “ตู่-เต้น” นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.คนใหม่ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.คู่ใจ ก็ขีดเส้นใต้วันรบแตกหักแล้วเช่นกัน พร้อมระดมมหามวลชนคนเสื้อแดง ออกมาชนกันให้รู้ดำรู้แดง ท้าทายกันไปมาพร้อมนับหัวม็อบ ใครน้อยกว่าจะยอมแพ้ โดยงัดข้ออ้างฝ่ายยึดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามระบอบประชาธิปไตย ถูกกลั่นแกล้งรังแกโดยเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างไม่เป็นธรรม
ปลุกระดมมวลชนผ่านการจัดเวที “ถลกหนังเทือก” ปลอกเปลือกให้เห็นใส้ในของกลุ่มเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย โดยทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมใจกันประกาศว่าจะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ต้องรู้แพ้ รู้ชนะ กันให้ได้ในครั้งนี้
จึง มีการแปรรหัสคำพูดในการตั้งตนเป็น “องค์รัฏฐาธิปัตย์” ของนายสุเทพ บนเวทีกปปส. สวนลุมพินี ว่าหาก กปปส.ชนะ ก็จะดำเนินการจัดตั้งรัฏฐาธิปัตย์ เพื่อนำรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่วางตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นทูลเกล้าและนายสุเทพจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯนายกฯตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 7 ด้วยตัวเอง จากนั้นจะตั้งรัฐบาล ตั้งสภาประชาชน เพื่อจัดการปฏิรูปประเทศต่อไป
ความเชื่อมั่นของนายสุเทพ มาจากสัญญาณที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้ ว่าจะตัดสินวินิจฉัยคดีเข้าทาง กปปส.แน่นอน และยังเชื่อมั่นอีกด้วยว่าหากเกิดการปะทะระหว่างมวลชน 2 กลุ่ม เกิดม็อบ ผู้มีอำนาจหรือมือที่มองไม่เห็นจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้สถานการณ์นั้นประโยชน์ตกไปอยู่กับ กปปส.
การเร่งปิดเกมเช่นนี้ก็เพราะ กปปส. ประเมินแล้วว่าการชุมนุมที่ยิ่งยึดเยื้อออกไป จะทำให้กระแสตีกลับ เพราะคนกรุงเริ่มจะชินชากับการเคลื่อนไหวของ กปปส.แล้ว ประกอบกับอาการเหนื่อยล้าเต็มทีของบรรดาแกนนำที่ได้รับผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มทุนท่อน้ำเลี้ยง จากเริ่มแรกเติมกระสุนให้ไม่อั้น แต่เมื่อการชุมนุมยืดเยื้อมาเกือบ 6 เดือน จึงได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม กระสุนเริ่มร่อยหรอ ทำให้องคาพยพที่สนับสนุนเริ่มถอยห่าง ดังนั้นครั้งนี้จึงถือเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายของกำนัน
ขณะที่เงื่อนไขของกลุ่มนปช. ทางทีมยุทธศาสตร์ของนายใหญ่ประเมินแล้วว่า ช่องทางเจรจาทุกประตูถูกปิดตัน และเมื่ออำนาจใกล้จะหลุดลอย จึงมีทางเดียวเพื่อจะเปิดประตูเจรจาก็คือการปลุกระดมมวลชนขึ้นมาหวังเป็น เครื่องต่อรองรอบสุดท้าย ซึ่งแน่นอนว่าหากยังถูกอุดช่องเจรจา หายนะของประเทศจากการเผชิญหน้าของ 2 ขั้วไม่มีทางเลี่ยงได้แน่
เมื่อถึงจุดนั้นกลุ่มที่ถือดุลอำนาจหลักอย่าง “กองทัพ” สามารถอาศัยช่องออกมาจัดระเบียบอำนาจใหม่ ซึ่งการออกมาของกองทัพในครั้งนี้ จะไม่เหมือนช่วงสถานการณ์ “กันยาฯปี 49” จะเป็นการปฏิวัติซ่อนเงื่อนในรูปแบบใหม่ แต่เบื้องหลังยังคงรูปแบบกำปั้นเหล็กเหมือนเดิม ผ่านสัญญาณการจัดวางกองกำลังกันใหม่ หลังโผโยกย้ายกลางปีเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
“ผบ.แดง” พล.ต.อภิรัช คงสมพงษ์ ผบ.พล.1 รอ. ที่แดงแต่ชื่อเล่น แต่ในหัวใจนั้นถ้ากรีดออกมาจะเห็นเป็นสีตรงกันข้าม พร้อมจะกำปั่นเหล็กเพราะคุมกำลังปฏิวัติในเมืองกรุงอยู่ 58 กองร้อย ไล่ทุบอีกฝ่ายให้ยอมศิโรราบ
ทั้งหมดนี้จะตกอยู่ในอุ้งมือของกองทัพได้ จ่าฝูงกองทัพอย่าง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา ผบ.ทบ. จะต้องกุมสภาพภายในกองทัพให้เป็นหนึ่งด้วย เพราะจากสภาพการณ์ภายในกองทัพวันนี้ มองภายนอกอาจเห็นภาพความขึงขังของ“บิ๊กตู่” ยังคงกุมสภาพได้เบ็ดเสร็จ แต่หากเอ็กซเรย์ลงไปทุกรูขุมขน ก็ยังคงเห็นรอยร้าวลึก
อย่าลืมว่าเดือน ต.ค.นี้ ผู้นำเหล่าทัพ ไม่ว่าจะเป็นผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. รวมไปถึงผบ.ตร. ล้วนแล้วแต่ต้องเกษียณอายุราชการกันยกแผง โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญอย่างเก้าอี้จ่าฝูงกองทัพอย่าง ผบ.ทบ. เดิมมีการวางตัว “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตะบุต รองผบ.ทบ. น้องเล็กในสายบูรพาพยัคฆ์ เป็นทายาทอำนาจคนต่อไป แต่มาระยะหลังเริ่มมีการปล่อยกระแสม้ามืดอย่าง “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. ที่อยู่ในสายวงศ์เทวัญ ขึ้นมาเสียบแทน
ตรงนี้จะเป็นรอยร้าวในกองทัพ ทำให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
และหากถึงวัน ว. เวลา น. ที่คู่ขัดแย้งทางการเมืองเข้าห้ำหั่นปะทะกันจริง “แผนกินรวบ”ที่วางไว้มันอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ถึงวันนั้นเราทุกคนคงได้แต่ภาวนา อย่าให้สิ่งที่คิดวิเคราะห์กันมาตลอดเป็นความจริง อย่าให้เกิดภาพคนไทยต้องมานองเลือด เพื่อสนองอำนาจทางการเมืองของแกนนำแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่าย
ดังนั้นนับจากช่วงปลายเดือน เม.ย. ไปจนถึงต้นเดือน พ.ค. ทุกความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย จึงพาให้น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มก๊วนการเมืองทั้ง กปปส. นชป. ที่มุ่งหน้าเร่งสปีดเพิ่มแรงกดดัน ปั่นสถานการณ์ไปสู่จุดแตกหัก
เพราะทั้งหมดทั้งปวง ล้วนแล้วแต่รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้จาก“หมากเกมนี้”กันทั้งนั้น. – สำนักข่าวเดอะพับลิก