ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำเตือนอย่างชัดเจนในงานแถลงข่าวที่ฟลอริดา หากกลุ่มฮามาสยังไม่ยอมปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซาก่อนวันที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม อาจเกิด “หายนะใหญ่” ทั่วตะวันออกกลาง ขณะที่การเจรจาหยุดยิงมีความคืบหน้า แต่ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งและแรงกดดันจากทุกฝ่าย
เมื่อวันอังคาร 7 ม.ค. ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมด้วยนายสตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษตะวันออกกลาง ได้ร่วมแถลงข่าวที่บ้านพักของเขาในรัฐฟลอริดา โดยได้อธิบายจุดยืนของเขาในประเด็นนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ
ในส่วนเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งประเด็นหลักมุ่งเน้นไปที่ความพยายามในการเจรจาสันติภาพและการหยุดยิงในพื้นที่ฉนวนกาซา ทรัมป์ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการปล่อยตัวประกัน โดยระบุว่า “หากตัวประกันยังไม่กลับมาก่อนที่ผมจะเข้ารับตำแหน่ง จะเกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้นทั่วตะวันออกกลาง และจะไม่เป็นผลดีต่อกลุ่มฮามาส หรือใครทั้งนั้น”
คำพูดดังกล่าวถือเป็นการย้ำข้อความที่เขาเคยโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ระบุว่าจะมี “เรื่องเลวร้าย” เกิดขึ้นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงก่อนวันที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม
ด้านนายสตีฟ วิทคอฟฟ์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตประจำตะวันออกกลาง กล่าวว่า การเจรจาเพื่อการหยุดยิงในฉนวนกาซา “มีความคืบหน้าไปมาก” แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว
ข้อเรียกร้องของฮามาสและการประท้วงในอิสราเอล
ทางด้านกลุ่มฮามาสยังคงยืนยันข้อเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการโจมตีกาซาโดยสมบูรณ์ก่อนที่จะมีการลงนามข้อตกลงหยุดยิง นอกจากนี้ กลุ่มฮามาสยังวิพากษ์วิจารณ์คำพูดของทรัมป์ว่าเป็น “การแสดงความหุนหันพลันแล่น” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการสันติภาพในภูมิภาค
โอซามา ฮัมดาน เจ้าหน้าที่ของฮามาสกล่าวโทษอิสราเอลว่าเป็นตัวขัดขวางข้อตกลงดังกล่าว เมื่อถูกขอให้ตอบสนองต่อความเห็นของทรัมป์ ฮัมดานตอบว่า “ผมคิดว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะต้องมีแถลงการณ์ที่มีวินัยและเป็นนักการทูตมากกว่านี้”
ในขณะเดียวกัน ชาวอิสราเอลจำนวนมาก รวมถึงครอบครัวของผู้ที่ถูกจับกุมในฉนวนกาซา ได้จัดการประท้วงครั้งใหญ่ที่กรุงเทลอาวีฟ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแลกเปลี่ยนนักโทษกับกลุ่มฮามาส โดยการประท้วงเกิดขึ้นบริเวณหน้ากระทรวงกลาโหมระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีที่หารือเรื่องข้อตกลงหยุดยิงและการปล่อยตัวประกัน ผู้ประท้วงปิดกั้นทางเข้าออกฐานทัพ พร้อมทั้งถือป้ายเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกกักขังประมาณ 100 คน
ฝ่ายค้านและญาติของผู้ถูกจับได้กล่าวโทษนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ว่าเป็นผู้ขัดขวางการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงดังกล่าว โดยมีรายงานเพิ่มเติมจากหนังสือพิมพ์ ฮาอาเรตซ์ ว่าสมาชิกครอบครัวของผู้ถูกจับในฉนวนกาซา 112 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงของอิสราเอล กล่าวหาว่ารัฐบาลละเมิดกฎหมายพื้นฐานของอิสราเอลในการละเลยความรับผิดชอบต่อพลเมืองของตนเอง
แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิง แต่ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากทั้งในประเทศและนานาชาติให้มีการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ