ในช่วงปลายสมัยการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโจ ไบเดน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้พยายามผลักดันการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส รวมถึงการปล่อยตัวเชลยศึกในฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสถานการณ์และความไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนสิ้นสุดวาระของไบเดน
เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมด้วยสตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง ทีมงานใหม่แสดงความมั่นใจในการบรรลุข้อตกลง โดยอ้างถึงความสามารถในการเจรจาที่แข็งแกร่งของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม คำเตือนของทรัมป์ที่ระบุว่าหากไม่ปล่อยตัวเชลยศึกก่อนวันที่ 20 มกราคมจะต้องเผชิญกับ “ผลลัพธ์ร้ายแรง” นั้น อาจสร้างแรงกดดันต่อฮามาส แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่เพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค
โอมาร์ ราห์มาน นักวิจัยจากสภากลางตะวันออกเพื่อกิจการโลก (Middle East Council on Global Affairs) ได้ให้ความเห็นต่อคำพูดของทรัมป์เกี่ยวกับ “ผลลัพธ์ร้ายแรง” ว่า “จะมีนรกอะไรที่ทรัมป์จะนำมาสู่ฉนวนกาซาได้มากกว่าที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว?” เขาตั้งคำถามถึงความหมายที่แท้จริงของคำขู่นี้ โดยเสนอว่าทรัมป์อาจหมายถึงการใช้กำลังทหารต่ออิหร่าน หรือ “เปิดไฟเขียวให้การทำลายล้างชาติพันธุ์ในฉนวนกาซาเพิ่มเติม” ราห์มานยังตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์อาจกำลังใช้ภาพลักษณ์ของผู้นำที่คาดเดาไม่ได้เพื่อสร้างความหวาดกลัวและกดดันฝ่ายตรงข้าม
การเจรจาในตะวันออกกลางต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ลึกซึ้งทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเมือง ฮามาสยืนยันให้อิสราเอลยุติการโจมตีกาซาโดยสมบูรณ์ก่อนการปล่อยตัวเชลย แสดงถึงความไม่ไว้วางใจและความต้องการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ขณะที่รัฐบาลอิสราเอลต้องคำนึงถึงแรงกดดันจากประชาชนภายในประเทศ โดยเฉพาะครอบครัวของเชลยศึกที่เรียกร้องการแลกเปลี่ยนนักโทษ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ความมั่นคงของชาติ
ความซับซ้อนเหล่านี้สะท้อนถึงความเปราะบางของสถานการณ์ที่การตัดสินใจใดๆ อาจส่งผลกระทบกว้างขวาง ไม่เพียงต่อคู่ขัดแย้งโดยตรง แต่ยังต่อพันธมิตรในภูมิภาคและนโยบายระหว่างประเทศ
แนวทางของสหรัฐฯ: จากไบเดนถึงทรัมป์
ในช่วงปลายวาระของไบเดน การเจรจามุ่งเน้นไปที่การใช้การทูตเชิงนุ่มนวลโดยการประสานงานกับพันธมิตรในภูมิภาค แต่ความพยายามนี้ยังไม่สามารถลดความแตกต่างในข้อเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายได้
เมื่อทรัมป์เข้ามารับตำแหน่ง เขาเลือกใช้วิธีการเจรจาที่ตรงไปตรงมาและใช้แรงกดดันอย่างหนัก การเตือนถึง “ผลลัพธ์ร้ายแรง” สะท้อนถึงความพยายามสร้างแรงจูงใจให้ฮามาสยอมอ่อนข้อ อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงหากฝ่ายต่าง ๆ มองว่าสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเกินขอบเขต
ในอดีต ทรัมป์เคยประสบความสำเร็จในการเป็นสื่อกลางในข้อตกลงอับราฮัม (Abraham Accords) ที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับบางประเทศ แต่บริบทของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสมีความซับซ้อนมากกว่า การเจรจาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสร้างข้อตกลงระหว่างรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องพิจารณาปัจจัยด้านมนุษยธรรม ความมั่นคง และความยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้น คำถามสำคัญคือ รัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถผสมผสานการกดดันทางการเมืองกับการทูตที่ละเอียดอ่อนเพื่อสร้างข้อตกลงที่ยั่งยืนได้หรือไม่ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการเจรจาครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงความสามารถของผู้นำสหรัฐฯ แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดถึงความพร้อมของโลกในการรับมือกับความท้าทายในตะวันออกกลางอย่างแท้จริง