ภาพถ่ายที่ถูกเผยแพร่โดยสื่ออิสราเอลเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 ได้จุดประเด็นร้อนในสังคมไทย หลังพบว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้แก่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศ และ นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล เดินทางไปสวดมนต์ที่กำแพงร้องไห้ในเยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อิสราเอลยึดครองตั้งแต่สงครามหกวันในปี 1967
เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามว่า ไทยกำลังเปลี่ยนท่าทีทางการทูตและเลือกข้างอิสราเอลโดยปริยายหรือไม่?
จุดเริ่มต้นของกระแสโซเชียล
ข่าวนี้ถูกพูดถึงในไทยอย่างกว้างขวางเมื่อบัญชี Facebook ชื่อ “Badryah Poompadit” เผยแพร่ภาพและคลิปเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เวลา 22.29 น. โพสต์ดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำนี้สะท้อนความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างรัฐบาลไทยและอิสราเอล และอาจเป็นสัญญาณว่าไทยกำลังก้าวสู่การเป็นพันธมิตรสำคัญของอิสราเอลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว โดยถูกแชร์ไปกว่า 450 ครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมง (ณ เวลา 19.00 น. 24 ก.พ.) และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่สนับสนุนปาเลสไตน์
เสียงวิจารณ์จากกลุ่มสนับสนุนปาเลสไตน์
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เพจ “Thailand Stand with Palestine ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์” ได้ออกมาแสดงความเห็นเช่นกัน โดยตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย โดยเฉพาะการไปสวดมนต์ที่กำแพงร้องไห้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอิสราเอล
“รัฐมนตรีไทยเป็นพุทธ หรือเป็นยิว? เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาไปพนมมือกราบไหว้กำแพงฝั่งยิว ทั้งที่อิสราเอลไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการปล่อยตัวเชลยไทย แต่ฮามาสปล่อยเองโดยไม่มีเงื่อนไข! ไหนบอกว่าไทยเป็นกลาง?”
โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไปกว่า 600 ครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง (ณ เวลา 19.00 น. 24 ก.พ.) และยังคงถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง
กำแพงตะวันตก: ศรัทธากับข้อพิพาท
กำแพงตะวันตก หรือ “กำแพงร้องไห้” (Western Wall) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำลายโดยจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. 70 ชาวยิวทั่วโลกจึงมองที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของการอธิษฐานและแสดงถึงความเชื่อมโยงกับกรุงเยรูซาเล็ม
ในทางกลับกัน โลกมุสลิมมองว่ากำแพงนี้เป็น “กำแพงบะรัก” (Al-Buraq Wall) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดอัลอักซอ หนึ่งในสามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของอิสลาม โดยเชื่อว่าท่านศาสดามูฮัมหมัดเคยมัดพาหนะของพระองค์ไว้ที่นี่ก่อนเสด็จขึ้นสู่ฟากฟ้า
องค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) และสันนิบาตอาหรับมีจุดยืนว่าเยรูซาเล็มตะวันออก รวมถึงกำแพงตะวันตก เป็นดินแดนที่อิสราเอลยึดครองโดยผิดกฎหมายและควรอยู่ภายใต้การปกครองของปาเลสไตน์ ในอดีต อิสราเอลเคยมีข้อพิพาทกับมุสลิมเกี่ยวกับสิทธิ์ในการเข้าถึงกำแพงนี้ โดยเฉพาะการควบคุมทางเข้ามัสยิดอัลอักซออย่างเข้มงวดซึ่งสร้างความไม่พอใจให้โลกมุสลิมอย่างมาก
ไทยยืนอยู่ตรงไหน?
ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ไทยมีนโยบายวางตัวเป็นกลาง และรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเยือนกำแพงร้องไห้ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย ถูกมองว่าเป็นการยอมรับอำนาจของอิสราเอลเหนือเยรูซาเล็มตะวันออกโดยปริยาย ซึ่งขัดแย้งกับจุดยืนของประชาคมโลกและองค์การสหประชาชาติที่ยังถือว่า เยรูซาเล็มตะวันออกเป็นดินแดนยึดครอง
ตามรายงานของ The Jerusalem Post และ The Western Wall Heritage Foundation ภาพของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ (รมว.ต่างประเทศ) และ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี (ผบ.ทสส.) พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้แก่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ (ผู้ช่วย รมว.ต่างประเทศ) และ นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ (เอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอล) ขณะสวดมนต์ที่กำแพงร้องไห้ ถูกเผยแพร่พร้อมคำบรรยายที่ เน้นย้ำความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างไทยกับอิสราเอล
แม้การเดินทางครั้งนี้จะถูกประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “ภารกิจช่วยเหลือเชลยไทย” ที่ถูกจับกุมโดยฮามาส แต่ในความเป็นจริง เชลยไทยที่ถูกปล่อยตัวไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนใดๆ ฮามาสปล่อยตัวเชลยโดยไม่มีการจ่ายค่าไถ่หรือต่อรอง
อย่างไรก็ตาม แทนที่รัฐบาลไทยจะรักษาความเป็นกลาง กลับตอบแทนด้วยการเข้าร่วมพิธีที่กำแพงร้องไห้ ซึ่งเป็นการ ส่งสัญญาณยอมรับอำนาจของอิสราเอลเหนือเยรูซาเล็มตะวันออกโดยปริยาย และถูกมองว่า เป็นการเลือกข้างอิสราเอลอย่างชัดเจน ซึ่งขัดกับจุดยืนของหลายประเทศที่ยังคงสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์
เยรูซาเล็มตะวันออกยังคงเป็นดินแดนยึดครอง
กำแพงร้องไห้ตั้งอยู่ในเมืองเก่าของเยรูซาเล็ม ซึ่งอิสราเอลยึดจากจอร์แดนในปี 1967 และผนวกเข้ากับอิสราเอล แม้ว่าสหประชาชาติ (UN) จะยังถือว่าเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นพื้นที่ที่อิสราเอลยึดครองโดยผิดกฎหมาย
- ปาเลสไตน์อ้างว่าเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวงของตน
- ข้อตกลงออสโลกำหนดว่าสถานะของเยรูซาเล็มต้องถูกตัดสินผ่านการเจรจาสันติภาพ
- แต่ไทยกลับเลือกที่จะแสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลโดยการไปเยือนกำแพงร้องไห้
แม้แต่ผู้นำสหรัฐฯ ก็หลีกเลี่ยงสถานที่นี้—ยกเว้นโดนัลด์ ทรัมป์
ตลอดห้าสิบปีหลังจากอิสราเอลยึดครองกำแพงตะวันตก ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดที่ดำรงตำแหน่งเคยไปเยือนกำแพงร้องไห้ เนื่องจากนโยบายของสหรัฐฯ ระบุว่าสถานะสุดท้ายของเยรูซาเล็มต้องถูกตัดสินผ่านการเจรจาสันติภาพ
จนกระทั่ง ในเดือนพฤษภาคม 2017 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เดินทางไปเยือนกำแพงตะวันตกและประกาศรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญของสหรัฐฯ และก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก
ไทยควรทบทวนท่าทีของตน ก่อนที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สนับสนุนรัฐก่อการร้าย
ขณะที่อิสราเอลยังคงใช้กำลังทหารโจมตีฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์นับหมื่น และตัดขาดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รัฐบาลไทยควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า:
ทำไมเราต้องยืนยันสถานะของอิสราเอลในดินแดนที่ถูกยึดครอง?
ทำไมเราต้องแสดงออกในลักษณะที่ทำให้ไทยถูกมองว่าเลือกข้างอิสราเอล?
การเยือนครั้งนี้ส่งสัญญาณอะไรต่อประชาคมโลก?
การกระทำนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับโลกมุสลิมอย่างไร?
ไทยกำลังได้อะไรจากสิ่งนี้?
การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการทูต แต่ทำให้ตีความได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจนว่าไทยอาจกำลังเปลี่ยนจุดยืนที่เคยเป็นกลางมาโดยตลอด
นี่อาจเป็นก้าวที่อันตรายและอาจทำให้ไทยตกเป็นเป้าของกระแสต่อต้านจากโลกมุสลิมในอนาคต รัฐบาลไทยต้องทบทวนจุดยืนทางการทูตของตนอย่างรอบคอบ ก่อนที่ไทยจะถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลโดยปริยาย และทำให้เสียความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมที่เป็นพันธมิตรสำคัญของไทย