แม้จะใช้ความพยายามจดจ่ออยู่กับนัก เต้น, นักร้อง จิตรกรและศิลปะคนอื่นๆ ที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับงานที่หาได้ยากมากนี้ก็ตาม แต่สิ่งดึงดูดความสนใจของไคโรกลับอยู่ที่อื่น อาจจะเป็นสิ่งย้ำเตือนจากคืนหนึ่งเมื่อ 1,000 ปีก่อน ตามที่ตำนานได้กล่าวไว้ นกแร้งตัวหนึ่งได้มอบชื่อที่เป็นลางร้ายให้แก่เมืองใหม่นี้

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ.969 นายพลเกาฮัรฺ ในนามของกาหลิบราชวงศ์ฟาติมิด เพิ่งพิชิตเมืองอัล-ฟุสตัต เมืองหลวงของอียิปต์ในขณะนั้นได้ และได้เลือกพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเป็นที่ตั้งพระราชวังหลัง ใหม่เพื่อเป็นที่ประทับของกาหลิบเมื่อพระองค์มาเรียกสิทธิ์รางวัลของพระองค์ โดยรอบพื้นที่นี้ มีคนงานยืนถือพลั่วในมือ รอฟังเสียงกระดิ่งที่ผูกกับเชือกรอบนอกพื้นที่ ตามแผนของเขา นายพลเกาฮัรฺจะสั่นกระดิ่งเมื่อดาวเคราะห์อยู่ในมุมที่ดีที่สุด แต่เมื่อดาวอังคารขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของมัน นกแร้งตัวหนึ่งโฉบลงมาเกาะบนเชือกนี้ทำให้กระดิ่งดัง บรรดาคนงานจึงเริ่มลงมือขุด และเมืองนี้จึงกลายเป็น “นักรบ” ในภาษาอาหรับคือ “อัล-กอฮิรอ” ชาวตะวันตกเรียกเพี้ยนไปในภายหลังเป็น “ไคเร” และ “ไคโร”
ก่อนจะมาถึงคืนอันเป็นลางนั้น เมืองหลวงของอียิปต์ได้ย้ายขึ้นลงตามลุ่มแม่น้ำไนล์มาเป็นเวลา 5,000 ปี เปลี่ยนชื่อและสถานที่ตั้งไปตามความปรารถนาของผู้พิชิตและราชวงศ์ต่างๆ ครั้งที่เพิ่งผ่านมา คือเมื่อครั้งที่กาหลิบอัล-มุอิซเข้าโจมตีอียิปต์ เมืองหลวงคือเมืองมิสร์ ที่ปกครองโดยชาวโรมัน ซึ่งมุสลิมคนแรกผู้พิชิตอียิปต์ได้ตั้งชื่อให้ในปี 641 ว่า ฟัล-ฟุสตัต
เช่นเดียวกับไคโร ชื่อเมืองและที่ตั้งของอัล-ฟุสตัต ที่นักโบราณคดีเพิ่งจะขุดค้นพบซากของมันหลังจาก 800 ปี ก็ถูกเลือกโดยนกตัวหนึ่ง คือนกพิราบที่วางไข่ในกระโจมที่พักของ อัมรฺ อิบนฺ อัล-อาส ชาวอาหรับผู้พิชิตอียิปต์ ขณะที่เขากำลังจะเดินทัพไปยังอเล็กซานเดรีย อัมรฺได้ประกาศให้จุดนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อเขาเดินทางกลับมาอเล็กซานเดรียด้วยชัยชนะ เขาได้สั่งให้ทหารสร้างที่พักของพวกเขารอบกระโจมนั้น แล้วให้ชื่อแก่เมืองใหม่นี้ว่า “เมืองแห่งกระโจม” ต่อมาภายหลังมีการตั้งมัสญิดหลังหนึ่งขึ้นบนพื้นที่กระโจมหลังนั้น คือมัสญิดอัมร์ ซึ่งเป็นอาคารทางศาสนาหลังแรกของอิสลามในอียิปต์

ยุคหลังจากการพิชิตชัยของฟาติมิด อัล-ฟุสตัดยังคงเป็นนครหลวงของอียิปต์ต่อไป ถึงแม้ว่าไคโรที่อยู่ใกล้เคียงกำลังเจริญเติบโตขึ้น มันยังคงเป็นราชสำนักที่สำคัญสำหรับกาหลิบอยู่ ทั้งพระราชฐาน ข้าทาสบริวาร ฝ่ายบริหาร และกองทัพ อัล-ฟุสตัตเป็นเมืองหลวงอย่างแท้จริงเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น นักท่องเที่ยวต่างพิศวงในความงดงามของมัน นักภูมิศาสตร์ชื่อ อิบนฺ เฮากัล ได้เขียนไว้เมื่อปี 987 ว่า อัล-ฟุสตัตในสมัยนั้นมีขนาดหนึ่งในสนามของแบกแดด เป็นเมืองที่มีถนนร่มรื่น มีสวน และตลาดที่สวยงามด้วยบ้านเรือนที่สูงถึงเจ็ดชั้น และกว้างขวางพอที่จะรองรับประชาชนได้ 200 คน และเกือบ 70 ปีต่อมา นาซิร อี คุสโรว์ ชาวเปอร์เซีย ประหลาดใจกับสิ่งของเครื่องใช้ที่น่าอัศจรรย์ในตลาดฟุสตัต เครื่องดินเผาสีเหลืองประณีตบรรจงจนเขาสามารถมองเห็นมือตัวเองผ่านมันได้, แก้วใสสีเขียวมีค่า, ผลึกหิน, กระดองเต่า และความหลากหลายของผลไม้ ดอกไม้ และผัก แม้แต่ในช่วงฤดูหนาว
ในระหว่างนั้น กาหลิบอัล-มุอิซได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญคือ เขาจะย้ายพระราชฐานของเขาไปยังไคโร อียิปต์ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 300 ปี เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งที่ปกครองโดยผู้ว่าราชการที่ถูกแต่งตั้งจากศูนย์กลาง อำนาจของมุสลิมอย่างดามัสกัส, มะดีนะฮ์ และแบกแดด บัดนี้จะได้เป็นศูนย์กลางอำนาจในตัวของมันเองแล้ว และพื้นที่ที่มีชื่อว่า อัล-กอฮิรอ จะได้เป็นเมืองหลวงของมัน
ขณะนั้น พื้นที่ราชสำนักเป็นสถานที่น่าทึ่ง ที่ทอดยาวจากบาบ-อัล-ฟุตุฮ์ ปัจจุบัน ไปถึง บาบ ซุวัยลา, และจากบาบ อัล-ฆุรอยยิบ สุดถึงมัสญิดอัล-อัซฮัร ไปจนถึงถนนคอลก์ คือกำแพงหนาขนาดทหารม้าสองคนสามารถขี่ม้าเคียงกันไปบนนั้นได้ และยาวมากจนต้องสร้างประตู 7 แห่ง เพื่อให้เพียงพอสำหรับการเข้าออกได้ ภายใน มีพื้นที่แห่งหนึ่งขนาดครึ่งตารางไมล์คือเราะฮ์บา (จัตุรัสแห่งหนึ่งซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า คาน อัล-คอลิลี) ที่กว้างใหญ่จนทหาร 10,000 คนสามารถเดินขบวนในนั้นได้ ทางด้านตะวันออกคือพระราชวังของ อัล-มุอิซ นักประวัติศาสตร์ชื่อมักริซีกล่าวในภายหลังว่า พระราชวังแห่งนี้ ที่กินพื้นที่เกือบหนึ่งในห้าของบริเวณทั้งหมด มี “สี่พันห้อง” หนึ่งในนั้นคือห้องตำหนักมรกตที่มีเสาทำด้วยหินอ่อน อีกห้องหนึ่งคือ “ตำหนักสีทอง” ตำหนักหรูหราที่กาหลิบนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง ห้อมล้อมด้วยมหาดเล็กและข้าราชบริภารของเขาที่เฝ้ารอรับใช้ในเทศกาลต่างๆ ของอิสลาม เบื้องหลังคือลวดลายเส้นสีทอง

บริเวณโดยรอบกว้างใหญ่มาก นาซิรฺ-อี-คุสโรว์ กล่าวว่า มองจากที่ไกลมันดูเหมือนกับภูเขา และพระราชวังสวยงามเลิศหรูจนมีเพียงผู้ที่เคยไปที่นั่นเท่านั้นที่จะสามารถ บรรยายได้อย่างเหมาะสม คนหนึ่งที่เคยไปคือ วิลเลียมแห่งไทร์ เขาไปยังไคโรในปี 1168 พร้อมกับคณะทูตจากฝ่ายผู้ทำสงครามครูเสด เขาเขียนว่า พวกเขาถูกนำผ่านเฉลียงลึกลับที่ทอดยาวและประตูที่มียามประจำอยู่ ผ่านพระราชฐานเปิดกว้างแห่งหนึ่ง และทางเดินที่มีเสาหินอ่อน และผ่านไปทางตำหนักต่างๆ ที่มีเพดานบุทอง มีน้ำพุหินอ่อน มีนกที่มี “ขนน่าพิศวง” และสัตว์ต่างๆ “ราวกับช่างเขียนฝีมือดีได้พรรณนาเอาไว้ หรือการเสกสันของกวี…”
ในที่สุด เขากล่าวว่า พวกเขามาถึงห้องที่มีบัลลังก์ซึ่ง “ชุดหรูหราหลายชั้นของพวกเขาป่าวประกาศถึงความงดงามของผู้เป็นนาย… และม่านหนาหนักที่เย็บปักด้วยทองและไข่มุกอยู่ด้านข้าง และบนบัลลังก์สีทองนั้น กาหลิบในเสื้อคลุมหรูหรายิ่งกว่าสถานะของกษัตริย์นั่งประทับอยู่”
อาคารใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นใน บริเวณนี้คือมัสญิดอัล-อัซฮัร สร้างขึ้นระหว่างปี 970 ถึง 972 ถูกสร้างใหม่หลายครั้ง แต่องค์ประองที่สำคัญของมันยังคงอยู่เช่นเดิม ห้าปีต่อมา อัล-อาซิส บุตรชายของกาหลิบได้อุทิศมัสญิดนี้ให้เป็นที่เรียนรู้ ก้าวสำคัญที่จะทำให้มันเป็นศูนย์กลางวิชาการที่สำคัญของศาสนาอิสลามในอีก 1,000 ปี ต่อมา โดยมีนักศึกษาจากทั่วโลกมารวมตัวกันมาเพื่อศึกษาวิทยาการ กฎหมาย และคำสอนของอิสลาม และในภาษาอาหรับทั้งด้านไวยากรณ์และวาทศิลป์ ในช่วงเริ่มต้น
มันเป็นเพียงมัสญิดหลังใหญ่ และเป็นฉากของการเข้ามาถึงอย่างเป็นทางการของกาหลิบอัล-มุอิซ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอียิปต์

สำหรับอียิปต์ การเข้ามาของฟาติมิดเป็นสิ่งที่มากกว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองและย้ายเมือง หลวงเท่านั้น มันเป็นการบอกลาโดยสิ้นเชิงจากศาสนา การเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา เป็นยุคสมัยที่อียิปต์ได้แสดงตัวในฐานะเป็นประเทศแถวหน้าของอาณาจักรมุสลิม
ผู้ที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ อัล-มุอิซ และบุตรชายของเขาคือ อัล-อาซิส ผู้เป็นพ่อที่ปรารถนาในอียิปต์มาหลายปี เขาได้ปกครองที่นั่นเพียงสองปีเท่านั้น แต่ในช่วงสองปีนั้น เขาได้ปูทางให้แก่การปกครอง 21 ปีของผู้เป็นบุตรชายด้วยความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่อัล-มุ อิซมีคือการเปิดกว้าง ถึงแม้จะเป็นชีอะฮ์ แต่เขาหลีกเลี่ยงความรุนแรงในการเปลี่ยนความเชื่อของเขาไปตามหลักคำสอนของ ซุนนีที่มีอำนาจเหนืออยู่จนกระทั่งเขาสามารถพิชิตเมืองได้ อีกอย่างหนึ่งคือความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ที่มักส์ ใกล้กับเอสบิกียะฮ์ในปัจจุบัน เขาได้สร้างท่าเทียบเรือแห่งแรกขึ้น ในตอนนั้นมีเรือเทียบที่นั่น 600 ลำ เป็นกองเรือที่เพิ่มความเข้มแข็งทางการค้าจนทำให้อียิปต์กลายเป็นคู่ปรับของแบกแดดในไม่ช้า

เพื่อการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยให้แก่ข้าราชบริพารที่มีถึง 20,000 คน และความรักของเขาที่มีต่อความหรูหรา เขาได้จัดให้มีระบบการเก็บภาษีที่เข้มงวดจนสามารถเก็บเงินได้ถึงวันละ 150,000 เหรียญจากในอัล-ฟุสตัตที่เดียว
อัล-อาซิสปฏิบัติตามแบบอย่างของพ่อ เขาได้เพื่อพระราชวังของเขาเอง คือ “พระราชวังเลสเซอร์ตะวันตก” บวกเข้ากับตำหนักสีทอง และตำหนักดีวานผู้ยิ่งใหญ่ และตำหนักไข่มุก ทั้งหมดนี้ได้สูญหายไป เขาได้วางรากฐานของมัสญิดอัล-ฮากิม ซึ่งได้เพิ่มโดมเข้าไปในภายหลัง ตัวอย่างของโดมแบบอิสลามสามารถพบว่า ยังมีอยู่ในมัสญิดสมัยฟาติมิดสามหลังในไคโค คือ อัล-อัซฮัร, อัล-ฮากิม และอัล-กุยูชี มัสญิดเล็กๆ หลังนี้ตั้งอยู่บนขอบเนินเขามุกอตตัม สร้างขึ้น เมื่อปี 1805 โดยบัดรฺ อัล-กอมาลี และเป็นมัสญิดหลังเดียวในยุคนั้นที่หออะซานยังอยู่สมบูรณ์
หากว่ากาหลิบราชวงศ์ฟาติมิดที่เหลือคนอื่นๆ ปฏิบัติตามแบบอย่างของอัล-มุอิซแล้ว ประวัติศาสตร์ในอีก 177 ปีต่อมาอาจจะแตกต่างออกไปอย่างมาก แต่เมื่ออัล-ฮา กิมผู้บ้าคลั่งขึ้นครองบัลลังก์ เรื่องราวของฟาติมิดกลับเปลี่ยนไปสู่ตำนานของการกดขี่ ขาดแคลน และสงคราม ที่ดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงวันเดือนพฤศจิกายน ปี 1169 เมื่อทหารได้จุดไฟจากน้ำมัน 20,000 บาร์เรล เผาเมืองอัล-ฟุสตัตจนราบเป็นหน้ากลองในกองไฟที่ลุกอยู่นาน 54 วัน
เหมือนเป็นลางร้าย สมัยปกครองของอัล-ฮากิม ที่ครูคนหนึ่งตั้งชื่อเล่นให้เขาว่า “จิ้งจก” เริ่มต้นขึ้นด้วยการฆาตกรรม ด้วยวัยเพียง 15 ปี เขาก็สร้างความหวาดกลัวให้แก่ข้าราชบริพารได้แล้วด้วย “ตาสีน้ำเงินที่ร้ายกาจ” ของเขา และเสียงราวฟ้าผ่าที่ทำให้แม้แต่ผู้ใหญ่ยังตัวสั่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา อัล-ฮากิมได้สั่งประหารชีวิตผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่รับใช้เขามาสี่ปีในทันที เป็นคำสั่งประหารครั้งแรกในจำนวนหลายๆ ครั้ง ตลอดระยะเวลา 25 ปี อัล-ฮากิมใช้อำนาจบังคับให้ชาวอียิปต์ปฏิบัติตามคำบัญชาเพี้ยนๆ ของเขา

เขา ไม่เพียงแต่ห้ามสุรา อย่างที่ควรจะคาดหวังจากกาหลิบที่ดีเท่านั้น แต่ยังได้สั่งทำลายไร่องุ่น การทำองุ่นแห้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และริบน้ำผึ้ง เขาห้ามเล่นเกมทุกประเภท แม้กระทั่งหมากรุก และสั่งช่างทำรองเท้าให้เลิกผลิตรองเท้าสำหรับใส่นอกบ้านของผู้หญิง เพื่อบังคับให้ผู้หญิงต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา จนถึงขนาดว่า ผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ปรากฏตัวผ่านหน้าต่าง และยังห้ามไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปบนชั้นหลังคาบ้านของตัวเองอีกด้วย ในปี 1005 เขา เขาได้ดำเนินการประหัตประหารชาวคริสเตียนในอียิปต์ และความรุนแรงสุดท้ายที่นำพาเขาไปสู่ความหายนะคือ เขาอ้างตัวว่าเป็นร่างจุติของพระเจ้า อันเป็นการละเมิดความศรัทธาของคนโดยทั่วไป เมื่อประชาชนเริ่มทำการปฏิวัติ เขาส่งกำลังทหารเข้าแต่ไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้
ถึงแม้จะมีการส่งเสริมที่ดีขึ้นบางอย่างในไคโร มีมัสญิดฮากิม, มุศอลลา อัล-อิด และดารฺ อัล-อิลม์ อยู่ในพระราชวังหลวง แต่สมัยการปกครองของอัล-ฮา กิมได้สร้างความเสียหายให้แก่สายตระกูลฟาติมิด ถึงแม้จะมียุคสมัยที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่เรื่องราวของฟาติมิดภายหลังจากนั้นมีแต่การสู้รบ, โรคภัย และความตาย
ในสมัยการปกครองของอัล-มุ สตันซิร ทหารชาวเติร์กในกองทัพต่อสู้กับทหารชาวซูดานและเบอร์เบอร์เป็นเวลาสิบปี ขับไล่พวกเขาออกไปแล้วเข้ายึดไคโร พวกเขาถูกโค่นล้มก็ต่อเมื่อบัดรฺ-อัล-กามาลี เจ้ามืองดามัสกัสผู้มีความสุขุมและเด็ดเดี่ยว ถูกส่งเข้ามาโดยอัล-มุสตันซิรเพื่อเข้าควบคุมกองทัพ
ในปี 1066 เป็น ช่วงเริ่มต้นของภาวะอดอยากเจ็ดปี ซึ่งทำให้ผู้หญิงต้องขายบ้านเพื่อแลกกับแป้งหนึ่งกระสอบ และคนฆ่าสัตว์ต้องขายม้า ลา สุนัข และแมว หลังจากภาวะอดอยากนั้นก็ได้เกิดโรคระบาดขึ้นอีก
บัดรฺ-อัล-กามา ลี และบุตรชายของเขาคืออัฟดัล ชาฮันชา ได้นำยุคสมัยแห่งความสงบร่มเย็นมาสู่อียิปต์ พวกเขาได้ทำให้ฟุสตัตสงบลง ฟื้นฟูการเกษตร ในยุคนี้ บรรดาช่างฝีมือในประเทศ ทั้งช่างปูน ช่างไม้ ช่างแก้ว และช่างทำอัญมณี ต่างบันทึกเรื่องราวความรุ่งเรืองของราชวงศ์ฟาติมิดลงบนก้อนหิน ไม้ ปูน แก้ว และอัญมณีล้ำค่า มีความพัฒนาที่สำคัญในเมืองนี้ด้วยเช่นกัน คือการก่อสร้างกำแพงใหม่ และประตูหินที่ยิ่งใหญ่อีกสามประตู คือ บาบ อัล-ฟุตูห์, บาบ อัล-นัสร์ และ บาบ ซุวัยลา ทั้งสามประตูนี้ตั้งตระหง่านอยู่ในปัจจุบันในฐานะเป็นอนุสรณ์แห่งยุคฟาติมิด
อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของมันด้วยการก่อจลาจลขึ้นในพระราชวัง และความไม่สงบนั้นรุนแรงจนกระทั่งในปี 1149 ประชาชน ชาวไคโรได้ร้องเรียนต่ออามิรฺ ตาลาอี อิบนฺ รุซซิก ผู้ว่าราชการเมืองอัชมุนัยน์ทางตอนเหนือของอียิปต์ให้มาแก้ไขสถานการณ์ เขามาตามคำร้องเรียน และหลังจากนั้นไม่นาน เขาได้สร้างมัสญิดหลังหนึ่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของเขา ปัจจุบันตั้งอยูใกล้กับ บาบ ซุวัยลา

ในขณะนั้น กองทัพของพวกครูเสดได้เคลื่อนไปทางตะวันตกของเยรูซาเล็ม และเป็นภัยคุกคามของอียิปต์ เมื่อตาลาอีไม่สามารถขับไล่พวกเขาออกไปได้ เขาเองก็พ่ายแพ้ด้วยเช่นกัน
หลัง จากผู้ว่าราชการจากทางเหนือของอียิปต์ที่ชื่อชาวัรฺ เดินทัพเข้ามายังไคโรและยึดฝ่ายอัครมหาเสนาบดีมาจากบุตรชายของตาลาอีได้ใน ไม่ช้า ชาวัรฺผู้ทำการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่งอำนาจ ได้เสนอรายได้จากภาษีของอียิปต์หนึ่งในสามให้แก่เจ้าชายนูรฺ อิด-ดีน ผู้เป็นซุนนี เพื่อให้เขาช่วยสนับสนุนในการต่อต้านพวกกบฏ นูรฺ อิด-ดีนเข้ามา แต่แล้วก็แตกกันกับเชาวัรฺที่ขณะนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ทำสงครามครูเสด และหลังจากเชาวัรฺได้เผาอัล-ฟุสตัตจนเหลือแต่ซากแล้ว เขาได้เข้ามา ในเมือง และได้แต่งตั้งซอลาฮุดดีนเป็นนายกรัฐมนตรี และในปี 1171 เขาได้กำจัดชื่อเสียงของ “กาหลิบแห่งฟาติมิด” ไปตลอดกาล
พร้อมกับความเสียหายของอัล-ฟุ สตัตนี้เอง ที่ไคโรเริ่มเจริญเติบโตขึ้นโดยธรรมชาติ พระราชวังหรูหราบางแห่งถูกขายไปและบางแห่งกลายเป็นซากปรักหักพังไป และเมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ สิ่งที่เคยเป็นความรุ่งเรืองของฟาติมิดค่อยๆ ลบเลือนหายไปท่ามกลางประชากรที่กระจายแผ่กว้างออกไปจากไคโรจนกระทั่งถึง ปัจจุบัน
ในวาระครบรอบวันเกิด 1,000 ปี ของเมืองนี้ มีมัสญิดเพียงไม่กี่หลัง ประตูโบราณ กำแพงผุพัง และชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผา และเครื่องแกะสลักที่ยังคงเหลืออยู่เป็นหลักฐานการเริ่มต้นที่รุนแรง แต่รุ่งโรจน์ ของเมืองหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกแห่งนี้
แปล/เรียบเรียงจาก : http://www.muslimheritage.com/
นักแปล, โต๊ะข่าวต่างประเทศ