อย่ามองไกลไปกว่าคัมภีร์กุรอาน ในการ “พิสูจน์” ว่าอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ !!

ผู้ชายมุสลิมกำลังอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน (ภาพ Getty Images)

บรรดาพวกที่ถูกเรียกว่ากลุ่มญิฮาดิสต์  (Jihadi) ซึ่งประกอบด้วยชาวมุสลิมหัวรุนแรงของทุกฝ่าย ตั้งแต่ ซาลาฟี (Salafis) วะฮาบี (Wahhabis) อัลกออิดะห์ ตอลิบาน ไอซิส และอื่นๆ อีกมากมาย คิดว่าตัวเองเป็นผู้สนับสนุนศาสนาอิสลามที่เที่ยงแท้ (True Islam) ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้อ้างว่า การโจมตีปารีส ลอนดอน และนิวยอร์กนั้นถูกสนับสนุนและชอบธรรมตามคัมภีร์กุรอาน

ในขณะที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ประณามการสังหารโหดเหล่านั้น

สำหรับผู้ที่อยู่วงนอกของการถกเถียง นี่อาจดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความสับสน ฝั่งไหนกันแน่ที่กล่าวความจริง? ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่อันตรายหรือไม่?

ต่อไปนี้คือเหตุผลที่บอกว่าทำไมกุรอานไม่ได้สนับสนุนการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย ทั้งต่อเหตุผลสำหรับการทำสงครามและอันใดที่เป็นสิ่งเหมาะสมที่ต้องปฏิบัติเมื่อมีเหตุผลในการทำสงครามเพื่อป้องกัน

อย่างตรงไปตรงมา พระเจ้าได้อนุญาตอย่างมีเงื่อนไขสำหรับชาวมุสลิมที่จะทำสงคราม อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดนี้กลุ่มญิฮาดิสต์ไม่ได้ยึดตาม

นี่คือบางส่วนของข้อกำหนดและเงื่อนไข :

ประการแรกมุสลิมไม่สามารถชิงโจมตีเริ่มต้นสงครามก่อน พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ “ป้องกัน” เท่านั้น ชาวมุสลิมได้รับอนุญาตจากพระเจ้าที่จะต่อสู้กลับเฉพาะเมื่อพวกเขาถูกขับไล่ออกจากบ้านหรือที่ดิน

สงครามสามารถกระทำได้หากพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คนไร้ทางปกป้องตนเองต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตีและร้องขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรมุสลิมของพวกเขา

เหตุผลสุดท้ายสำหรับการทำสงคราม นั่นคือการทำสงครามเพื่อยุติสงครามระหว่างผู้ศรัทธาสองกลุ่ม และฝ่ายหนึ่งไม่ได้มีความตั้งใจที่จะหยุดมันด้วยความอาฆาตแค้น ทั้งๆที่มีการนำเสนอสัญญาสงบศึก

และแม้กระทั่งสำหรับการทำศึกและการสู้รบ กุรอานได้วางข้อกำหนดและกรอบปฏิบัติไว้ ถ้าหากศัตรูเสนอสันติภาพมุสลิมจะต้องยุติสงครามโดยทันที

ประการที่สอง ชาวมุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้ละเมิดเรื่องความยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์  กุรอานกล่าวว่า“จงต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า ต่อผู้ที่ต่อสู้กับเจ้า แต่จงอย่าละเมิด พระเจ้าไม่ทรงรักผู้ละเมิด” ดังนั้นความคิดแบบไร้ข้อจำกัด และสงครามตามแนวทางที่นำเสนอโดยไอซิสทั้งหมดจึงไม่ใช่รูปแบบของอิสลาม

ประการที่สาม ชาวมุสลิมจะต้องปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างให้เกียรติ ไม่ใช่การตัดศีรษะพวกเขาอย่างที่เห็นกันในวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อเลือดที่เผยแพร่แพร่โดยกลุ่มที่เรียกว่ารัฐอิสลาม (ไอซิส) นักโทษควรได้รับการปล่อยตัวหลังจากสงคราม ด้วยการแลกเปลี่ยนเชลยกับชาวมุสลิมหรืออนุเคราะห์ด้วยความเมตตาอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ชาวมุสลิมไม่ได้รับอนุญาตให้กักตัวเชลยศึก นำมาเป็นทาสพวกเขา หรือใช้เป็นทหารในอนาคต

ประการสุดท้าย ผู้ที่ยึดถือในศาสนาอิสลามไม่ได้รับอนุญาตให้ไปบังคับในเรื่องความเชื่อความศรัทธาทางศาสนาต่อศัตรูของพวกเขา

และหากตามที่คัมภีร์อัลกุรอานว่าไว้ กลุ่มญิฮาดิสต์ได้ลบล้างหนึ่งในข้อบัญญัติที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับประชาชาติอื่นๆ โดยคัมภีร์กุรอานระบุว่าชาวมุสลิมจะต้องไม่แสวงหาความเป็นปรปักษ์ต่อผู้ที่ยังไม่ได้ก่อสงครามกับพวกเขา คัมภีร์กล่าวว่าชาวมุสลิมจะต้องสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันกับผู้ที่ไม่ได้ขับไล่ไสส่งหรือช่วยเหลือในการขับไล่ชาวมุสลิมออกจากดินแดนของพวกเขา ดังนั้นมันจึงเป็นที่ชัดเจนว่าคัมภีร์กุรอานไม่ได้ขัดขวางชาวมุสลิมว่าจะเป็นคนประเภทใด และอัลกุรอานเพียงชี้นำพวกเขาไปสู่การเป็นผู้คิดอย่างอิสระ

การอนุญาตที่จะให้ต่อสู้ในคัมภีร์กุรอานส่วนใหญ่มีจุดประสงค์ในการป้องกันและตอบโต้การรุกราน ผู้ยึดมั่นที่แท้จริงต่อคัมภีร์กุรอานไม่ได้รับอนุญาตในการเริ่มต้นสงคราม และแม้กระทั่งเมื่อสงครามปะทุขึ้นมุสลิมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ นี่คือศาสนาอิสลามที่มุสลิมส่วนใหญ่ยึดถือตาม ซึ่งโดยพื้นฐานมันเป็นแนวทางสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปพร้อมๆ กับผู้คนศาสนาอื่นๆ และเชื้อชาติต่างๆ

แปล/เรียบเรียงจาก ดิอินดีเพนเดนท์
เขียนโดย Pooyan Fakhraei